แนวหน้า ฉบับวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

น.ส.ยิ่ง ลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานลงนามบันทึกความร่วมมือ 3 กองทุนสุขภาพ ประกอบด้วย กองทุนสวัสดิการข้าราชการ กองทุนประกันสังคม และกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติ ในการพัฒนาระบบการรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉิน ภายใต้นโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉิน ถึงแก่ชีวิต ไม่ถูกถามสิทธิ์ รักษาทันที ทุกที่ทุกคน” โดยมี นายวิทยา บุรณศิริ รมว.กระทรวงสาธารณสุข นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.กระทรวงแรงงาน และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงคลัง ร่วมเป็นสักขีพยาน

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีโนบายพัฒนาระบบ ประกันสุขภาพ เพิ่มประสิทธิภาพระบบหลักประกันสุขภาพ ถ้วนหน้า 30 บาท รักษาทุกโรค เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับบริการอย่างมีคุณภาพ สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม รวมทั้งบูรณาการสิทธิของผู้ป่วย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ระหว่าง 3 กองทุน ซึ่งจะเริ่มจากการให้บริการผู้ป่วยเจ็บป่วย ฉุกเฉินเป็นกรณีแรก ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้ ต่อไปผู้เจ็บป่วย ฉุกเฉินทุกคนสามารถเข้ารับบริการในโรงพยาบาลทุกแห่งที่อยู่ใกล้ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนได้ทันที โดยไม่ถูกถามสิทธิ ไม่ต้องสำรองจ่ายเงินล่วงหน้า ให้การดูแลจนกว่าอาการจะปลอดภัย และ หากมีความจำเป็นจะได้รับการส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงขึ้น เนื่องจากการได้รับอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน เป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต หากได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว จะช่วยให้รอดชีวิตหรือลดความพิการลงได้

ด้าน นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวในเวทีเสวนา “นำร่องฉุกเฉินมาตรฐานเดียว : จับตารัฐบาลยิ่งลักษณ์กับอนาคต 3 กองทุนสุขภาพ” ว่า จากกรณีที่รัฐบาลจะเริ่มให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินในทุกสิทธิการรักษาพยาบาลใน วันที่ 1 เมษายนนั้น ตนมีความกังวลเรื่องคำนิยาม ผู้ป่วยฉุกเฉินยังมีความคลุมเครืออยู่ โดยในส่วนของผู้ป่วยภาวะวิกฤติหรือสีแดง ทราบดีว่าต้องช่วยเหลือตามกฎหมาย มาตรา 36 พ.ร.บ.สถานพยาบาล อยู่แล้ว แต่ที่ยังคลุมเครือ คือ ผู้ป่วยสีเหลือง ซึ่งฉุกเฉินเร่งด่วน เช่นกันแต่ยังสามารถรอได้ในระดับหนึ่ง จึงอยากให้แจกแจงเป็นรายการของกลุ่มโรคที่ชัดเจนว่า มีโรคใดบ้าง ที่จำเป็นต้องให้บริการ

ที่สำคัญควรมีการเก็บสถิติที่แน่นอน ว่า ประชากรที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ มีเท่าใด และเชื่ออย่างยิ่งว่าเรื่องของการเช็คหมายเลขประจำตัวประชาชนยังเป็นเรื่อง จำเป็น ซึ่งแน่นอนว่า คนไทยใน 3 สิทธิการรักษาพยาบาลนั้นมีสิทธิในการรับบริการกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน แต่อยากฝากให้รัฐบาลทราบว่า ยังมีคนไทยอีกมากที่ไม่อยู่ใน 3 สิทธิดังกล่าว เช่น พนักงานรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างตามองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ส่วนนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลยังบริการไม่ทั่วถึง แต่ในฐานะผู้บริการ ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนที่มีทั้งหมด 322 แห่ง และมีเตียงรองรับกว่า 3.3 หมื่นเตียงนั้นก็ต้องเตรียมรองรับกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีสิทธิการรักษาที่ ชัดเจนด้วย