เช้าวันนี้(๑๑ มิ.ย.๕๖)คณะกรรมการวิชาการ สภาพัฒนาการเมืองจัด”เวทีสมัชชาประชาธิปไตยสู่การสร้างความตื่นตัวทางการเมือง ภาคเหนือ” (คกก.วิชาการ สพม)ณ ห้องประชุมหละพูน โรงแรมลำพูนวิล จังหวัดลำพูน ซึ่งมีสมาชิกสภาพัฒนาการเมือง เครือข่ายภาคประชาสังคม ๑๗ จังหวัดภาคเหนือ  และผู้แทนจากการศึกษานอกโรงเรียน ๒๐๐ กว่าคน เข้าร่วมเวทีสมัชชาฯครั้งนี้


เมื่อเวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น.นายนาวิน สินธุสอาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ได้ให้เกียรติกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน โดยกล่าวถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในจังหวัดลำพูนที่มีการใช้สิทธิในการเลือกตั้งมากที่สุดในประเทศไทย แต่ทำอย่างไรให้เป็นวิถีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ภาคประชาชนมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเมืองภาคพลเมืองให้เข้มแข็งสามารถจัดการท้องถิ่นได้ด้วยตนเอง กลไกของรัฐ ก็จะลดบทบาทหน้าที่ลงเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบัน 

      จากนั้นนางอุษา เทียนทอง รองประธาน คกก.วิชาการ สพม กล่าวรายงานการจัดงานโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้เกิดการระดมสมองจากทุกภาคส่วนเกิดการตื่นตัวในการร่วมกันผลักดันการเมืองภาคพลเมืองให้เข้มแข็งและร่วมกันหาแนวทางการแก้ปัญหาสถานการณ์ทาง การเมืองที่เป็นอยู่ ต่อมา ศ.ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ประธานสภาพัฒนาการเมืองได้กล่าวเปิดเวทีฯว่า ”การเสวนาทางวิชาการโครงการประชาธิปไตยและการเมืองมุมมองจากฐานรากสู่ระดับประเทศ ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ สพม จึงจัดเวทีฯขึ้นเพื่อกระตุ้นสร้างการตื่นตัวในการมีส่วนร่วมในทางการเมือง โดยสร้างกระบวนการการรับรู้และสร้างความเข้าใจในสิทธิชุมชนในการจัดการตนเอง ซึ่งจะมีการจัดทั่วทั้ง ๕ ภูมิภาคได้แก่ภาคเหนือที่จังหวัดลำพูน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดหนองบัวลำภู ภาคใต้ที่จังหวัดตรัง ภาคตะวันออกที่จังหวัดฉะเชิงเทราและที่ภาคกลางที่จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งจะนำไปเป็นข้อมูลนำเสนอให้กับสภาพัฒนาการเมืองเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนการเมืองภาคพลเมืองรวมทั้งยังเป็นข้อมูลเชิ งประจักษ์ที่แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวทางการเมืองและการมีส่วนร่วมของการพัฒนาการเมืองของภาคประชาชน ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

       ในตอนท้ายท่านประธานฯกล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมเวทีสมัชชาฯในครั้งนี้” จากนั้นเป็นเวทีเสวนาหัวข้อ”ความตื่นตัวทางการเมืองสู่ท้องถิ่นจัดการตนเอง” ซึ่งอัดแน่นไปด้วยเนื้อจากผู้ร่วมเสวนา ทั้ง อ.ชำนาญ จันทร์เรือง  นายกกนกศักดิ์ ดวงแก้วเรือน ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ นางทิพย์พาพร ตันติสุนทร โดย ผศ.ดร.สมาน ฟูแสง ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ  เริ่มจากอาจารย์ชำนาญ จันทร์เรือง หนึ่งในผู้ยกร่างพรบ.เชียงใหม่มหานคร นำเสนอวิธีคิดในการยกร่าง พรบ.เชียงใหม่มหานคร ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ เมื่อก่อนเชียงใหม่ก็ปกครองตนเองมากว่า ๗๐๐ ปี ในหลายประเทศก็มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ทั้ง ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เกาหลี อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น


       นายกนกศักดิ์ ดวงแก้วเรือง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ทา อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ยกตัวอย่างการจัดการตนเองของคนแม่ทา ด้วยการสร้างจิตสำนึกให้เห็นว่าชาวบ้านเป็นเจ้าของพื้นที่ สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง เขามีสิทธิในการใช้ประโยชน์ สิทธิในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ความสำคัญของการใช้งบประมาณ จำเป็นจะต้องมีการตัดสินใจร่วมกัน มีการประชุมร่วมพร้อมทั้งสื่อสารให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบถึงการใช้งบประมาณนั้นและที่สำคัญคือต้องมี การจัดความสัมพันธ์ภายในตำบลให้สอดคล้องกับการทำงานร่วมกันทั้ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มชาวบ้าน ข้าราชการและเอกชนในพื้นที่  ต้องเปิดการรับฟังจากทุกฝ่าย ให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ร่วมงาน ร่วมคน ร่วมเงิน และต้องสร้างการเข้าถึงงบประมาณ สร้างรูปธรรมให้เป็นที่ประจักษ์ และต้องเชื่อมโยงกับหน่วยงานภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันตำบลแม่ทาถือเป็นต้นแบบของตำบลจัดการตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่เครือข่ายตำบลจัดการตนเองในที่สุด ต่อมา

       ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ ได้เล่าถึงประวัติครูบาศรีวิชัยโดยย่อว่า “ท่านเกิดที่อำเภอลี้ มรณภาพที่ลำพูน ท่านได้สร้างคุณูปการอย่างมากมายต่อท้องถิ่น การสร้างโอกาสให้กับลูกหลาน ปกาญอ มีสิทธิได้อุปสมบทในพุทธศาสนา แม้ตัวท่านเองต้องอธิกรณ์หลายครั้งหลายคราแต่ท่านก็มิได้ท้อถอยในการสร้างความเจริญให้กับชุมชน ด้วยการสร้างวัดในพื้นที่ต่างๆ สร้างสะพาน และสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ ฯลฯ  จากเงินของชาวบ้าน เป็นการจัดการตนเอง ซึ่งจะเห็นได้ว่าในอดีตเราต้องการผู้นำ ปัจจุบันเราต้องการ

       กระบวนการมีส่วนร่วมทั้งจากภาครัฐและภาคประชาชน การผนวกรวมระหว่าง ความเข้มแข็งของท้องถิ่นกับองค์ความรู้จากส่วนกลาง จะนำไปสู่การพัฒนาท้องถิ่นในที่สุด จากนั้น นางทิพย์พาพร ตันติสุนทร ชี้ให้เห็นว่าวิธีการสร้างการจัดการตนเองให้กับชุมชนของครูบาศรีวิชัยนั้นนับเป็นความกล้าหาญทางจริยธรรม ที่ต้องใช้หลักศาสนาและคุณธรรม นำการพัฒนา สร้างกระ บวนการมีส่วนร่วมให้เกิดขึ้นในชุมชนกระทั่งนำไปสู่การพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
     
      และในตอนท้ายนางทิพย์พาพร ตันติสุนทร ยังกล่าวถึงอดีตนายกรัฐมนตรีประเทศเยอรมัน ว่า เขาคำนึงถึงการใช้เสรีภาพบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคม นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาใช้จริยธรรม คุณธรรมในการปกครองและเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ที่สำคัญเห็นสังคมส่วนรวมมาก่อน ในตอนท้ายเวทีเสวนา ผศ.สมาน ฟูแสงผู้ดำเนินการเสวนา ได้กล่าวขอบคุณวิทยากรทั้ง ๔ ท่าน ซึ่งเนื้อหาสาระทั้งหลายที่ได้จากเวทีฯจะนำไปสู่การระดมความคิดเห็นในภาคบ่ายซึ่งจะเป็นเวทีกลุ่มย่อยร่วมกันค้นหาแนวทางการแก้ปัญหาของสังคมในด้านต่างๆต่อไป