น.พ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิเพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า จากมติครม.เมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา ตามที่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติได้เสนอ ให้ครม.ทำหลักเกณฑ์ปฏิบัติตามแนวทางของกรอบอนุสัญญาฯ องค์การอนามัยโลก โดยให้หน่วยงานราชการปฏิบัติตามแนวทางของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก มาตรา 5.3 โดยเฉพาะการป้องกันการแทรกแซงนโยบายการควบคุมยาสูบของรัฐโดยอุตสาหกรรมยาสูบ ซึ่งทำให้รัฐบาลประเทศสมาชิกต่างๆ ต้องมากำหนดกรอบนโยบายของตนเอง ซึ่ง ครม.ได้มีมติให้กระทรวงการคลัง ห้ามธุรกิจยาสูบทำกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ CSR และให้กระทรวงวัฒนธรรม กรมประชาสัมพันธ์ และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปรับปรุงกฎหมายห้ามการประชาสัมพันธ์ความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจยาสูบทางภาพยนตร์ โทรทัศน์และสื่อมวลชนต่างๆ ให้กระทรวงศึกษาฯบรรจุหลักสูตรเพื่อให้ความรู้ในโรงเรียน

   “ปัจจุบันพบว่า โรงงานยาสูบ เป็นบริษัทบุหรี่ที่ทำ CSR มากที่สุดในบรรดาบริษัทบุหรี่ทั้งหมด ซึ่งกระทรวงการคลังต้องเป็นผู้สั่งการให้ปรับเปลี่ยนแก้ไข ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันจะมีกฎหมายห้ามโฆษณาในสื่อต่างๆ แต่กฎหมายยังมีช่องว่างเรื่องการทำกิจกรรมเพื่อสังคม ทำให้บริษัทใช้โอกาสนี้ทำกิจก รรมเช่น ให้ทุน ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ แจกโรงเรียน เพื่อลดทอนกระแสรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ผูกมิตรกับเยาวชน ก็เท่ากับเป็นการซื้อความเงียบ ไม่ให้มีใครพูดเรื่องโทษพิษภัย ซึ่งเยาวชนถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของบริษัทบุหรี่ จะมีความพยายามในการเจาะกลุ่มนี้มากที่สุด” น.พ.ประกิต กล่าว
น.พ.ประกิตกล่าวว่า ปัจจุบันหลายประเทศที่ดำเนินนโยบายเพื่อควบคุมการสูบบุหรี่อย่างจริงจัง เช่น ใช้มาตรการภาษี ให้การศึกษา และเพิ่มพื้นที่ปลอดบุหรี่ ทำให้อัตราการสูบบุหรี่ลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด เช่น ฮ่องกง แคนาดา ไอซ์แลนด์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มีอัตราการสูบบุหรี่เพียงร้อยละ 15-25 เท่านั้น ขณะที่ไทย อัตราการสูบบุหรี่แทบไม่ลดลงและอยู่ที่ เกือบร้อยละ 50 มานานหลายปี และยังมีอัตราผู้ที่คิดอยากจะเลิกบุหรี่ลดลงจากร้อยละ 50 ของผู้สูบเหลือเพียงร้อยละ 30 ทำให้จำเป็นต้องเร่งนโยบายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะกรอบอนุสัญญาฯ องค์การอนามัยโลก มาตรา 5.3

ข่าวสด (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555