นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า เป็นที่ชัดเจนว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เครื่องมือทั้ง 4 ตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ อันประกอบด้วย สมัชชาสุขภาพ ธรรมนูญสุขภาพ การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) และสิทธิด้านสุขภาพ ได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือในการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม แต่การดำเนินงานในทศวรรษที่ 2 จำเป็นต้องขยายผลให้งอกงามขึ้น โดยเฉพาะสมัชชาสุขภาพที่ต้องยกระดับขึ้นไปสู่จุดที่กลายเป็นเครื่องมือของชาติ สำหรับทิศทางสำคัญของการปรับเปลี่ยน ได้แก่
1.สมัชชาสุขภาพต้องครบวงจร เมื่อขึ้นมติมาแล้วก็ต้องต่อยอดไปสู่การขับเคลื่อนได้จริง ที่สำคัญก็คือต้องมีความพิถีพิถันในการขึ้นมติ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์หรือข้อมูลวิชาการ และต้องเป็นเรื่องที่เร่งด่วน มีผลกระทบต่อคนจำนวนมาก อยู่ในวิสัยที่จะทำให้สำเร็จได้ และต้องมีเจ้าภาพของประเด็นที่ชัดเจน 2.สมัชชาสุขภาพต้องมีระบบฐานสมาชิกที่ทันสมัย แน่นอน มั่นคง และชัดเจน 3.สมัชชาสุขภาพจะต้องทำหน้าที่สานพลังข้ามกลุ่มต่างๆ และทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจาต่อรองหาทางออกที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ โดยไม่มีการเผชิญหน้าในฐานะคู่ขัดแย้งกัน “ในประเด็นที่เย็น เราจะได้เห็นความเป็นนักสานพลังระหว่างภาคีต่างๆ ส่วนในประเด็นที่ร้อน เราจะได้เห็นบทบาทการเป็นกลไกไกล่เกลี่ยต่อรองเพื่อหาทางออกร่วมกัน ฉะนั้นทศวรรษที่สองนี้ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติจะต้องยกสถานะตัวเองให้เป็นเครื่องมือของชาติ เพื่อใช้แก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ต่อไป” นพ.พลเดช กล่าว สำหรับ หนึ่งใน 4 เรื่องในงานสมัชชาสุขภาพที่ผ่านมาได้เน้นคือเรื่องการส่งเสริมให้คนไทยทุกช่วงวัยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น

TDRI เผยผลวิจัยพบ อีก 15 ปีข้างหน้า รัฐต้องใช้งบประมาณดูแลสุขภาพของคนไทยบานปลายถึง 1.4 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะการรักษาโรคความดัน - เบาหวาน ดร.ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร หัวหน้าโครงการวิจัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันงบประมาณที่รัฐต้องใช้ในการดูแลสุขภาพคนไทยอยู่ที่ 10-15% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐ ถ้ารัฐไม่ควบคุมค่าใช้จ่ายให้ดี จะพุ่งขึ้นไปถึง 1.4 ล้านล้านบาทใน 15 ปีข้างหน้า คณะผู้วิจัย จึงเสนอให้ 3 กองทุน คือ กองทุนประกันสังคม , หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และสวัสดิการข้าราชการ จัดทำฐานข้อมูลค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยเฉพาะการรักษาพยาบาลผู้สูงอายุ เช่น ทำเป็นโปรโมชั่นด้านสุขภาพ เพื่อลดต้นทุนการรักษา รวมถึงการรณรงค์ให้คนไทยรักษาสุบภาพและออกกำลังกายมากขึ้น ทั้งนี้ข้อมูลสภาพัฒน์ฯ พบว่า สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในปัจจุบัน ต่อค่าใช้จ่ายในครัวเรือน หรือ GDP จะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยในปี ปี 2559 สูงถึง 381,387 ล้านบาท หรือ 5.2% ของ GDP สอดรับภาวะสังคมของไทย ที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่ง TDRI ได้ทำแบบจำลองสังคมสูงวัยพบว่า ปัจจุบันกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 17% แต่ในอีก 15 ปีข้างหน้า คือ ปี 2575 กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป จะอยู่ที่ 29% ของประชากรทั้งหมด โดยคนที่อายุ 61 ปีขึ้นไปจะพบเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอย่างน้อย 1 โรค โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตและเบาหวาน ส่วนวัยทำงานจะเป็นโรคมะเร็งมากที่สุด