เมื่อวิกฤติภัยพิบัติภาคใต้ ถึงเวลาที่ต้องจัดการให้เป็นจริง8 ธันวาคม 2568

ปัจจุบันแม้ว่าภัยน้ำท่วมภาคใต้ ทั้งพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และจังหวัดใกล้เคียงจะเข้าสู่ภาวะน้ำแห้งแล้วก็ตาม แต่การจัดการเรื่องการเยียวยาผู้ได้รับผลกะทบทั้งด้านสุขภาพ จิตใจ และทรัพย์สิน ยังคงเป็นปัญหาที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ถูกจุด
นับตั้งแต่จากเหตุการณ์สึนามิ ปลายปี 2547 จนถึงวิกฤตอุทกภัยครั้งล่าสุดที่หาดใหญ่ เมื่อน้ำลด หรือสถานการณ์คลี่คลายแล้ว รัฐบาล และหลายหน่วยงานก็จะประกาศ "ถอดบทเรียน" แต่เมื่อถึงยุคที่ต้องเผชิญ "โลกรวน" ภัยพิบัติรุนแรง และถี่ขึ้นเรื่อย ๆ คำถามคือ "บทเรียนมากมายขนาดนี้ จะถูกนำมาใช้จริงจังเมื่อไหร่ ?"

วันจันทร์ ที่ 8 ธันวาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สานพลังสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และภาคีเครือข่าย เข้าร่วมเวที Policy Forum บทเรียนภัยพิบัติ ถอดไว้ ใช้กี่โมง? ณ ณ มหาวิทยาลัยทักษิณ จ.สงขลา เพื่อร่วมหาคำตอบและแลกเปลี่ยนอย่างเข้มข้นถึงแนวทางผลักดันให้การจัดการภัยพิบัติที่มีชุมชนท้องถิ่นเป็นฐาน เดินหน้าไปสู่การ "ลงมือทำ" ที่เป็นจริง

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวในวงเสวนาว่า โดยหลักแล้วผมก็ยังสนับสนุนให้มีการถอดบทเรียน เพราะผมคิดว่าเราจะเก่งขึ้นและดีขึ้นได้ต้องสามารถสรุปบทเรียน ไม่ว่ากับตัวเราเอง ครอบครัว ชุมชน พื้นที่จังหวัด และประเทศของเรา เพราะฉะนั้นโจทย์วันนี้ผมคิดว่าข้อเสนอเชิงนโยบายต่างๆ ที่เสนอไว้แล้วจะนำไปสู่การกระทำจริง
“ ณ วันนี้ผมเชื่อว่าความตื่นตัวของสังคมสูงมาก ไม่เฉพาะในพื้นที่หาดใหญ่ เพราะฉะนั้นข้อเสนอต่างๆที่มีอยู่แล้วเดิมกับที่ได้จากวันนี้อีก จะนำไปสู่ Action ที่เป็นรูปธรรม ที่สามารถนำไปแก้และพัฒนาในพื้นที่ต่างๆได้ เราต้องใช้ชุมชนเป็นศูนย์กลางและมีทุกหน่วยงานมาช่วยกัน อันนั้นเป็นทิศทางของนโยบาย” นพ.สุเทพ กล่าว

ในขณะที่ ดร.เพ็ญ สุขมาก ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ภายหลังจากที่มติ ครม.ล่าสุด เห็นชอบ “สมุดปกแดง ลายแทงใหม่นโยบายภัยพิบัติ นโยบายสาธารณะเพื่อการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง” ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ได้เสนอนั้น ก็ทำให้เรามีความหวังว่ามันจะนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมอย่างไรบ้าง ในปีที่แล้วที่เราถอดบทเรียนมา เราก็วิเคราะห์ก่อนว่าปัญหาและความท้าทาย ถ้าเราย้อนกลับไปดู ณ ปัจจุบัน หรือ 3 ฉบับที่เราทำขึ้นมาวิเคราะห์แบบมีส่วนร่วม ปัญหาและความท้าทายแบบเดิมๆ เช่น การทำให้เกิดแผนของการจัดการภัยพิบัติที่ยังไม่เห็น หรือไม่ว่าจะเป็น กฏหมาย พ.ร.บ. ปภ. ปี 2550 ยังมีช่องว่างและยังจัดการภัยพิบัติได้ไม่เต็มที่ ระบบฐานข้อมูลยังทำแบบแยกส่วน ไม่เป็นระบบ เป็นต้น อันนี้ก็สะท้อนว่าไม่ว่าเราจะถอดกี่ครั้ง คำตอบก็เหมือนเดิม

ส่วนนายชาคริต โภชะเรือง ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนสงขลา สะท้อนให้เห็นว่ารู้สึกล้มเหลว เพราะส่วนหนึ่งได้อยู่ในวงในของทีมประเมินสถานการณ์น้ำ และระบบการแจ้งเตือนภัย แต่ทุกคนที่อยู่ในทีมหรือแม้แต่เจ้าหน้าที่เองก็ไม่รอดเหมือนกัน และไม่สามารถช่วยคนรอบข้างได้ ก็เลยรู้สึกว่าแย่มากๆและล้มเหลว

ทางด้านตัวแทนผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ กล่าวว่า ความรู้สึกของการเป็นจิตอาสาอย่างแรกเลยคือว่า พอเข้าไปหน้างานจริงๆ เราช่วยเขาได้ไม่หมด ผมเห็นคนที่อยู่ต่อหน้าแล้วมากลายเป็นศพในตอนเย็น เรือของผมไม่ใหญ่รองรับคนได้เต็มที่แค่ 2-3 คนในสภาพน้ำเชี่ยว ผมยังต้องสละตัวเองในการรอช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งเป็นการรอคอยที่ไร้ความหวังมากเพราะว่าไม่สามารถใช้การสื่อสารได้
จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ระบุว่าผู้เสียชีวิตจากภัยน้ำท่วมในหาดใหญ่ รวมเป็น 145 ราย และพื้นที่หลายแห่งโดยเฉพาะเมือง ศูนย์กลางการค้า และย่านชุมชน ได้รับผลกระทบหนัก น้ำท่วมล้างเมือง หลายบ้านเรือน รถยนต์ และโครงสร้างพื้นฐานเสียหายอย่างมาก ขณะที่โรงพยาบาลและสถานพยาบาลหลายแห่งทั้งในหาดใหญ่และจังหวัดต่าง ๆ ในภาคใต้ ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม โดยเฉพาะ “โรงพยาบาลหาดใหญ่” มีความเสียหายสูงถึงประมาณ 930 ล้านบาท จากการประเมินในเบื้องต้น

