กขป. เขต ๒ ไฟเขียว "แผนยุทธศาสตร์ ๕ ปี" มุ่งลด Stroke/STEMI ตั้งคณะทำงานลุยแก้ปัญหา สุขภาพจิต-หมอกควัน ปัญหาเด็กเยาวชน และอาหารปลอดภัย
กขป. เขต ๒ ไฟเขียว "แผนยุทธศาสตร์ ๕ ปี" มุ่งลด Stroke/STEMI ตั้งคณะทำงานลุยแก้ปัญหา
สุขภาพจิต-หมอกควัน ปัญหาเด็กเยาวชน และอาหารปลอดภัย
พิษณุโลก – เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ คณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.)
เขตพื้นที่ ๒ ได้จัดการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ ณ ห้องประชุมสิริราชภัฏ
มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลก ศ.ดร.ศริเกษม ศิริลักษณ์
ประธานที่ประชุม
โดยมีวาระสำคัญในการพิจารณาและผลักดันนโยบายสาธารณสุขเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตพื้นที่

ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบร่างแผนยุทธศาสตร์ กขป. เขตพื้นที่ ๒
ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๗-๒๕๗๑) ซึ่งจะใช้เป็นกรอบการดำเนินงานด้านสุขภาพในพื้นที่
โดยเน้นการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญและเป็นภัยคุกคามต่อประชาชนในปัจจุบัน
เพื่อขับเคลื่อนแผนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ที่ประชุมจึงมีมติให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจตามประเด็นที่สนใจและมีความเร่งด่วน
๔ ด้าน ได้แก่:
ประเด็นอาหารปลอดภัยและโรค NCD: มุ่งเน้นการจัดเขตอาหารเสี่ยงโรค NCD เพื่อลดอุบัติการณ์ของโรคหลอดเลือดสมอง
(Stroke) และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (STEMI)
อย่างจริงจัง ประเด็นสังคมสูงวัยและคนพิการ:
เตรียมความพร้อมของระบบสุขภาพเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์
และการดูแลกลุ่มคนพิการ ซึ่งดัชนีของผู้สูงอายุ ระดับสูงสุด
ของประเทศไทยอยู่ในพื้นที่เขต ๒ คือ อุตรดิตถ์และสุโขทัย ประเด็นเด็กและเยาวชน:
เน้นการแก้ปัญหาสุขภาพจิต (Mental Health) การเข้าถึงสารเสพติด
รวมถึงปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชน ประเด็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ:
การลดปัญหาจากมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะปัญหา "หมอกควัน"
ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในพื้นที่
ในการระดมความคิดเห็นในภาคบ่าย กำหนด ๒ หัวข้อ คือปัญหาเด็กเยาวชน
ผู้สูงอายุ ตนพิการ และอาหารปลอดภัย และการขับเคลื่อนงานวิจัย
เพื่อเป็นเข็มทิศแนวทางในการนำไปสู่เป้าหมาย แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
สร้างนวัตกรรมและความก้าวหน้า และยืนยันความถูกต้อง ประการสำคัญเพื่อการวางแผนลำการตัดสินใจที่แม่นยำ
การประชุมครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการกำหนดทิศทางและมาตรการด้านสุขภาพเชิงรุกของคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน
เขตพื้นที่ ๒
เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับประชาชนในระยะ ๕
ปีข้างหน้า

