รายการ NHA Inside Talk จับเข่าเล่าเรื่องเคลื่อนงานสุขภาวะในพื้นที่ภาคกลาง
ณ เวทีเสวนา “จับเข่าเล่าเรื่อง
พื้นที่เปลี่ยน ประเทศเปลี่ยน” ในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18
หัวข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยอย่างเข้มข้น คือ “วิกฤติบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย”
ซึ่งกำลังลุกลามและส่งผลกระทบต่อเยาวชนอย่างรุนแรง
ซึ่งถือเป็นฐานสำคัญของประเทศ
การเสวนาครั้งนี้มีตัวแทนจากพื้นที่ภาคกลาง
3 เขตสุขภาพ ได้แก่ เขต 4 เขต 5
และเขต 6 มาร่วมถ่ายทอดสถานการณ์จริงจากพื้นที่
พร้อมด้วยผู้ดำเนินรายการ ดร.นิสมา พชาคณิต และผู้ร่วมเสวนา ได้แก่
คุณวิสุทธิ์ สุกรินทร์
หัวหน้ากลุ่มงานอาชีวอนามัย สสจ.สระบุรี (เขตสุขภาพที่ 4)
ผศ.ภิรมย์ สุลี้วรรณ
อาจารย์วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีจักรีรัช (เขตสุขภาพที่ 5)
คุณฐาณิษา สุขเกษม
ประธานมูลนิธิสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (เขตสุขภาพที่ 6)
สถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้า: ปัญหารุนแรงที่กำลังกัดกินอนาคตเด็กไทย
ผู้แทนจาก เขตสุขภาพที่ 6 (ภาคตะวันออก) เปิดประเด็นด้วยการสะท้อนภาพรวมสถานการณ์ว่า บุหรี่ไฟฟ้า “ระบาดหนักทั่วประเทศ” โดยเขต 6 ติดอันดับ 3 ของประเทศด้านความรุนแรงของปัญหา พื้นที่ภาคตะวันออกมีความซับซ้อนสูง ทั้งการเป็นเมืองท่องเที่ยว แรงงานต่างชาติ ร้านกัญชาเสรี และสถานบันเทิง ทำให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่ายยิ่งขึ้น
ในขณะที่ เขตสุขภาพที่ 5 (ภาคกลาง) พบสถานการณ์หนักไม่แพ้กัน โดยข้อมูลในเด็กอยู่ใน “อันดับที่ 2 ของประเทศ” บางโรงเรียนพบเด็กประถมมากถึง 97–98% รู้จักบุหรี่ไฟฟ้า และบางพื้นที่พบเด็กอายุต่ำสุดเพียง 7 ขวบ มีประสบการณ์ใช้บุหรี่ไฟฟ้าแล้ว ซึ่งเป็นข้อมูลที่สร้างความตกใจให้ทีมพื้นที่อย่างมาก
ส่วน เขตสุขภาพที่ 4 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ปริมณฑลและนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก
ก็พบการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่
รวมถึงการเข้าถึงของเด็กที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ทำให้กขป. เขต 4 ต้องหยิบประเด็นนี้เป็น
“นโยบายยุทธศาสตร์สำคัญ” เพื่อรับมือตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่เคยออกไว้ก่อนหน้า
กลไกการขับเคลื่อนงาน: พื้นที่ร่วมใจ
ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน
แม้บริบทแต่ละเขตจะต่างกัน
แต่ทุกพื้นที่ล้วนเห็นตรงกันว่า “ปัญหานี้ไม่มีหน่วยงานใดแก้ได้ลำพัง”
จึงต้องใช้พลังร่วมของทั้งภาครัฐ โรงเรียน ชุมชน ท้องถิ่น ตำรวจ
หน่วยงานสุขภาพ และครอบครัว
เขตสุขภาพที่ 4:
ใช้กลไก พชอ.
(คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ) เป็นตัวเชื่อมการทำงานลงพื้นที่
เน้นโรงเรียนนำร่อง ใช้เครื่องมือ “ธรรมนูญสุขภาพโรงเรียน” เพื่อสร้างกฎ
กติกา และมาตรการคุ้มครองเด็กโดยให้โรงเรียนร่วมออกแบบกันเอง
เขตสุขภาพที่ 5:
มีจุดแข็งด้านภาคีเครือข่ายที่แข็งแรง
ทั้งสาธารณสุขจังหวัด โรงเรียน ตำรวจภูธรภาค 7 อปท.
และมหาวิทยาลัยจำนวนมาก การทำงานจึงเป็นรูปแบบ “บูรณาการหลายภาคส่วน”
เน้นเข้าหาโรงเรียนเปราะบางและพื้นที่เสี่ยงสูงเพื่อช่วยเหลือเด็กอย่างใกล้ชิด
เขตสุขภาพที่ 6:
ใช้แนวคิด “เด็กหนึ่งคนต้องการทั้งหมู่บ้านดูแล”
เน้นประสานทุกภาคส่วน ตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียน ตำรวจ ท้องถิ่น
จนถึงภาคบริการและธุรกิจท่องเที่ยว พร้อมทำพื้นที่นำร่องเปรียบเทียบ
ทั้งเขตเมืองท่องเที่ยวและเขตชนบท เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างของปัญหาอย่างชัดเจน
จุดเปลี่ยนที่ทำให้การขับเคลื่อนเดินหน้าได้จริง
จากประสบการณ์ของทั้งสามเขต
จุดร่วมที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อนที่จับต้องได้คือ…
ข้อมูลจริงจากพื้นที่
การเสวนาครั้งนี้สะท้อนว่าปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนรุนแรงกว่าที่คิด และกำลังคุกคามอนาคตของประเทศอย่างแท้จริง การทำงานของเขตสุขภาพ 4 – 5 – 6 เป็นตัวอย่างของ “การขับเคลื่อนจากพื้นที่” ที่ใช้พลังร่วมของหลายภาคส่วน ทั้งข้อมูลจริง นโยบาย และความร่วมมือหน้างาน เป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้การแก้ปัญหาเดินหน้าอย่างมีหวัง เวทีนี้จึงไม่ใช่เพียงการเล่าเรื่องพื้นที่ แต่เป็นสัญญาณเตือนสำคัญว่า…ประเทศไทยต้องเร่งปกป้องเยาวชนก่อนจะสายเกินไป

