สช.ผลักดันนโยบายสาธารณะปี 68 สร้างกลไกพัฒนาจาก ‘พื้นที่’ยับยั้งความไม่สงบ-รุนแรงทางการเมือง

! Font Awesome Pro 6.0.0 by @fontawesome - https://fontawesome.com License - https://fontawesome.com/license (Commercial License) Copyright 2022 Fonticons, Inc.

สช. เปิดวงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ปั้น “กลไกขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่” เป็นนโยบายสาธารณะปี 2568 กำหนดทิศทางการพัฒนาของประเทศจากฐานล่าง หวังลดความเหลื่อมล้ำ ถอดสลักความรุนแรงทางการเมือง ขีดเส้นทำงานเข้มข้นเพื่อบรรลุ SDGs ในช่วง 5 ปีสุดท้าย

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย จัดเวทีถกแถลงประเด็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่ ซึ่งเป็นประเด็นที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อบรรจุเป็นหนึ่งในระเบียบวาระของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 โดยมีผู้แทนจากหลากหลายภาคส่วนเข้าร่วมผ่านทาง On-site และ Online เป็นจำนวนมาก


ศ. บรรเจิด สิงคะเนติ ประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นฯ เปิดเผยว่า จากรายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) พบว่า ประเทศไทยมีคนจน 3.43 ล้านคน คิดเป็น 4.89% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่ในปี 2566 ตัวเลขอยู่ที่ 2.39 ล้านคน นั่นหมายความว่า ภายในปีเดียวเรามีคนจนเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานในภาคการเกษตร

ทั้งนี้ ความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างเป็นประเด็นที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมายาวนานและเป็นประเด็นที่อ่อนไหวมาก เห็นได้จากสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ไม่ว่าเนปาล อินโดนีเซีย ติมอร์-เลสเต ฯลฯ ก็ล้วนแต่เกิดจากความเหลื่อมล้ำแทบทั้งสิ้น การแก้ไขจึงต้องอาศัยสรรพกำลังของภาคส่วนต่างๆ เพื่อมาปฏิรูประบบที่เป็นเงื่อนไขของความเหลื่อมล้ำ

“กลไกสำคัญที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม สร้างการมีส่วนร่วม คือการดึงภาคประชาสังคม เอกชน ชุมชนท้องถิ่น เข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการร่วมกับภาครัฐแบบภาคีภิบาล ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาหรือวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้” ศ. บรรเจิด กล่าว


นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ที่ปรึกษาคณะทำงานพัฒนาประเด็นฯ กล่าวว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่จะดำเนินการให้บรรลุภายในปี 2030 นั้น สิ่งที่ต้องพูดคุยกันในระยะเวลา 5 ปีที่เหลือ คือความสำคัญของการพัฒนาจากข้างล่างหรือจากพื้นที่ เพราะไม่ว่าโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) หรือในระดับสากลต่างมีหลักฐานที่สรุปออกมาแล้วว่า ความสำเร็จของการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างน้อย 2 ใน 3 นั้น มาจากชุมชนท้องถิ่นหรือพื้นที่ ส่วนการทำงานในระดับชาติอย่างมากก็ได้เพียง 1 ใน 3 เท่านั้น

“ระเบียบวาระนี้ จึงเป็นการทำอย่างไรเพื่อให้ 5 ปีสุดท้ายของเป้าหมาย SDGs เกิดความเคลื่อนไหวจากชุมชนท้องถิ่นหรือระดับพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อน SDGs อย่างเข้มแข็งมากขึ้น เพราะการพัฒนาจากข้างล่างนั้นสำคัญที่สุด หากข้างล่างเข้มแข็งทั้งประเทศก็จะเข้มแข็ง แต่ถ้าเราเข้มแข็งแต่ข้างบน เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากมายมหาศาล ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่บ้านเมืองจะสงบ เราจึงต้องหันมาทำให้พื้นที่ชุมชนเกิดความเข้มแข็งเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” นพ.สุวิทย์ กล่าว

ผศ. ชล บุนนาค เลขานุการคณะทำงานพัฒนาประเด็นฯ กล่าวว่า จากประสบการณ์ในการผลักดันและขับเคลื่อน SDGs ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าอุปสรรคสำคัญคือคอขวดของกลไกการทำงาน แม้ภาครัฐจะมีกลไก เช่น คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (กพย.) หรือกลไกจังหวัดทำหน้าที่ แต่ก็เป็นกลไกที่ค่อนข้างรวมศูนย์ ไม่ได้เปิดช่องว่างให้พื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมมากนัก สิ่งสำคัญในมตินี้จึงเป็นการเสนอให้มีกลไกการขับเคลื่อนที่มีส่วนร่วมแบบข้ามภาคส่วน เพื่อทลายข้อจำกัดของการทำงานให้เกิดการบูรณาการกันได้มากขึ้น โดยเข้ามามีบทบาทร่วมกันจัดลำดับความสำคัญของประเด็นในพื้นที่ได้

ผศ. ชล กล่าวว่า ในระดับโลกเองก็มีความก้าวหน้าของการขับเคลื่อน SDGs ไม่มากเท่าที่ควร จากการทบทวนพบว่ามีการบรรลุไปได้เพียงประมาณ 17% เท่านั้น ซึ่งเป้าหมายส่วนใหญ่ก็คงที่หรืออาจถอยหลัง โดยสาเหตุที่พบเหมือนกันคือคอขวดในกลไกการขับเคลื่อนและเรื่องของงบประมาณ ส่วนประเทศไทยบางตัวชี้วัดก็ยังมีความท้าทายหรืออยู่ในภาวะวิกฤต เช่น ระบบเกษตรอาหารที่ไม่ยั่งยืน การทำลายสิ่งแวดล้อมในหลายมิติ ระบบเศรษฐกิจที่ยังไม่เป็นธรรม นำมาซึ่งขยะ กากอุตสาหกรรม ปัญหาแรงงาน ฯลฯ

“ร่างมตินี้เราต้องการแตะไปให้ถึงกลไกเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของหลายภาคส่วน เพราะกลไกที่มีในปัจจุบันมักเป็นคณะกรรมการที่กระจุกตัวอยู่ในจังหวัด ขับเคลื่อนอยู่ในพื้นที่ แต่บางประเด็นก็ต้องการทำงานแบบข้ามพื้นที่ ไม่ได้ยึดอยู่กับภูมินิเวศ กลไกจังหวัดจึงไม่เพียงพอที่จะให้คนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางขับเคลื่อนการพัฒนาได้กว้างขวาง” ผศ. ชล กล่าว


สำหรับสาระสำคัญของร่างมตินี้ มีกรอบทิศทางที่จะส่งเสริมและผลักดันให้เกิด “กลไกขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่แบบมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน” ที่มีโครงสร้างยืดหยุ่น มีความเป็นอิสระ และได้รับการยอมรับทางกฎหมาย เพื่อเป็นพื้นที่กลางในการกำหนดวิสัยทัศน์ จัดทำแผน บูรณาการทรัพยากร และติดตามประเมินผลการพัฒนาของพื้นที่ โดยยึดชุมชนเป็นศูนย์กลาง และให้คุณค่ากับองค์ความรู้และข้อมูล จากพลเมือง ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบนิเวศเชิงนโยบาย กฎหมาย และงบประมาณที่เอื้ออํานวยให้กลไกดังกล่าวสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง เพื่อสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืนจากฐานราก

ทั้งนี้ มีแนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ 1. การพัฒนากลไกการมีส่วนร่วม สนับสนุนให้เกิดการจัดตั้งกลไกการมีส่วนร่วมทั้งระดับชาติและพื้นที่ ยกระดับสถานะของแผนชุมชน สร้างพื้นที่นวัตกรรมทางสังคม 2. การเสริมพลังชุมชนและพัฒนาทุนมนุษย์ พัฒนาศักยภาพคนและสร้างความตระหนักรู้ สนับสนุนข้อมูลที่มาจากพลเมือง สืบสานภูมิปัญญาและอัตลักษณ์ชุมชน 3. การพัฒนาระบบสนับสนุนที่เอื้ออำนวย ปฏิรูปการจัดสรรงบประมาณ ทรัพยากร พัฒนาระบบข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ ทบทวนกฎหมายระเบียบที่เป็นอุปสรรค สร้างเครือข่ายความร่วมมือข้ามภาคส่วน

อนึ่ง กระบวนการพัฒนาประเด็น “กลไกขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่” ภายหลังจากการถกแถลงร่วมกันในครั้งนี้ จะมีการจัดเวทีรับฟังความเห็นระดับจังหวัด วันที่ 15 ต.ค. 2568 และจัดเวทีรับฟังความเห็นระดับประเทศ วันที่ 28 ต.ค. 2568 เพื่อปรับเอกสารหลักและร่างมติดังกล่าว ก่อนที่จะมีการจัดเวทีเตรียมความพร้อมเครือข่ายระดับภูมิภาค วันที่ 5 พ.ย. 2568 จนได้ข้อเสนอเชิงนโยบายที่มีความสมบูรณ์เพื่อนำเข้าสู่การรับรองเป็นฉันทมติร่วมกัน ในเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี


ภาพ/ข่าว#ยะห์อาลีเครือข่ายสื่อสุขภาวะเขต12

#กลุ่มสื่อสารเพื่อสังคม

#สช.


 23 กันยายน 2568