สช. ประชุมระดมความเห็นต่อ “การขับเคลื่อนนโยบายการจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติจากธรรมชาติต่อระบบสุขภาพไทย”
25 กรกฎาคม 2568
! Font Awesome Pro 6.0.0 by @fontawesome - https://fontawesome.com License - https://fontawesome.com/license (Commercial License) Copyright 2022 Fonticons, Inc.
วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจัดเวทีระดมความเห็นสนับสนุนความร่วมมือการขับเคลื่อนการจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติจากธรรมชาติเพื่อลดผลกระทบต่อระบบสุขภาพไทย ณ ห้องประชุมกัมปะนี โรงแรมกาลนาน ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยมีผู้แทนจากภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ อาทิ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กองสาธารณสุขฉุกเฉิน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักนโยบายและแผนกลาโหม สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มูลนิธิชุมชนสงขลา ฯลฯ ซึ่งมีเป้าหมายให้เกิดการบูรณาการการขับเคลื่อนนโยบายฯ แลกเปลี่ยนข้อมูลและสถานการณ์ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนนโยบายฯ การวิเคราะห์ข้อจำกัดและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนการจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติจากธรรมชาติต่อระบบสุขภาพไทย
ในโอกาสนี้ ได้รับเกียรติจากวิทยากรที่มีบทบาทและประสบการณ์สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวเพื่อให้มุมมองการจัดการจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติจากธรรมชาติต่อระบบสุขภาพไทย ได้แก่
นางปนัดดา ภู่เจริญศิลป์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการป้องกันสาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย “การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มุ่งเน้นลดความเสี่ยงของภัยต่างๆ สร้างความตระหนักรู้กับทุกภาคส่วนของสังคมให้สามารถวางแผนรับมือผลกระทบได้ ส่งเสริมความร่วมมือเพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดการสาธาณภัย และพัฒนาระบบการฟื้นฟูให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วให้ดีกว่าเดิม”
นายแพทย์วัชรนันท์ ถิ่นนัยธร รองผู้อำนวยการกองสาธารณสุขฉุกเฉิน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข “ข่าวเกี่ยวกับภัยพิบัติ ไม่มีภัยพิบัติใดที่ไม่กระทบกับสุขภาพ ทำอย่างไรให้คนป่วยน้อยที่สุดจากการแพร่ระบาดของโรค ลดการบาดเจ็บ การแพทย์จะช่วยสนับสนุนอย่างไรให้บาดเจ็บน้อยที่สุด หากน้ำท่วมทำอย่างไรให้คนออกมาจากน้ำท่วมได้เร็ว จะป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างไร โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้น รวมถึงภาวะจิตใจที่ทางการแพทย์ต้องเข้าไปดูแลด้วย”
ดร.ทิพิชา โปษยานนท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ “การบูรณาการมิติด้านสุขภาพในการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติจากธรรมชาติ เป็นสิ่งจำเป็น ทั้งในระดับประเทศและระดับพื้นที่ ที่ไม่ใช่เพียงเรื่องของการตอบสนองในภาวะฉุกเฉิน แต่เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันเชิงระบบ ทั้งในด้านนโยบาย โครงสร้างพื้นฐาน สังคม และจิตใจ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสุขภาพของประเทศ ลดผลกระทบที่ไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มที่อยู่ในสภาวะเปราะบางในสังคม ที่นำไปสู่สังคมที่เข้มแข็ง ปลอดภัย และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ร.ต.ต.หญิง ดร.ปชาณัฎฐ์ นันไทยทวีกุล รองผู้อำนวยการหลักสูตรสหสาขาวิชาการจัดการความเสี่ยงและภัยพิบัติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “ข่าวเกี่ยวกับภัยพิบัติในสังคม การได้รับข่าวสาร การสื่อสารในเรื่องต่างๆ ควรเป็นข่าวที่ถูกต้อง ตรงประเด็น ในภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้น และประชาชนต้องการข่าวสารในลักษณะที่ควรต้องรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ณ ขณะนั้นรวมไปถึงความรู้ในการป้องกันตัวเองด้วย"
นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา “คนใกล้ที่สุดต้องเป็นคนแก้ไข เริ่มที่ท้องถิ่นเป็นหลัก ทำไมต้องเริ่มที่ท้องถิ่น คือ ใกล้ที่เกิดเหตุ ความรู้จักพื้นที่ รู้จักคน การประสานความช่วยเหลือท้องถิ่นจะรู้ ทำอย่างไรให้เสริมสร้างท้องถิ่นให้แข็งแรง ตอนมีเหตุการณ์ความไม่สงบ อย่างไรก็ตามพรุ่งนี้เช้าต้องสะอาดกลับไปเป็นปกติ โดยมีภาคเอกชนมาช่วยด้วย พอน้ำลดทีมสาธารณสุขมาจ่ายยาทันที ทีมนำถุงยังชีพลงทันที กรณีศูนย์เยียวยากระจายแจ้งเหตุไปตามเขตการเลือกตั้งทั้งหมด”
สำหรับในช่วงบ่ายเป็นเวทีการระดมความเห็นของผู้เข้าร่วมประชุม โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ การจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติจากธรรมชาติต่อระบบสุขภาพไทยในกระดับชาติและระดับพื้นที่ ซึ่งการระดมความเห็นเป็นไปอย่างเข้มข้น และได้แง่คิดที่น่าสนใจ ใน 4 ประเด็นคือ
1.การเข้าถึงและให้บริการของระบบบริการสุขภาพ/สาธารณสุข การดำเนินงานขาดการประสานการทำงาน เช่น ฐานข้อมูลยังเป็นของแต่ละหน่วยงาน ขาดการซ้อมแผนระดับจังหวัด เนื่องจากขาดงบประมาณ ความพร้อมและความเข้มแข็งของชุมชน ขั้นตอนการดำเนินงานล่าช้า ที่ในบางกรณีต้องได้รับการอนุมัติตามขั้นตอน สิทธิการรักษาพยาบาลของกลุ่มคนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่นั้น จะมีปัญหาการเข้าถึงบริการในภาวะวิกฤต ควรมีการทำงานในลักษณะกลไกความร่วมมือ และรวมแผนให้เป็นแผนเดียว การซ้อมแผนและการเตรียมการเป็นการดำเนินการที่ต่อเนื่อง
2.ระบบโครงสร้างพื้นฐานทางสาธารณสุขและบุคลากรด้านสุขภาพ ขาดการบริหารจัดการและเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ โครงสร้างพื้นฐานระบบบริการประสบปัญหาชั่วคราวในช่วงการเกิดภัย ระบบฐานข้อมูลประชากรกระจายอยู่ในแต่ละหน่วยงาน ขาดระบบการสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันในทุกระยะของการเกิดภัย ชุมชนเมืองมีการรวมตัวกันอย่างหลวม ควรให้เกิดการจัดการชุมชนเข้มแข็ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และสาธารณสุขมีการสนับสนุนช่วยเหลือข้ามพื้นที่ได้ และควรมีการออกมาตรฐานรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานของระบบบริการขั้นต่ำที่สอดคล้องกับบริบทของปัญหา
3.ปัญหาสุขภาพจิตของประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ผลกระทบด้านสุขภาพจิตเกิดทั้งผู้ประสบภัยและญาติ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่เข้าไปปฏิบัติงานด้านภัยพิบัติด้วย ควรมีชุดความรู้หรือข้อมูลในการรับมือด้านสุขภาพจิต การสนับสนุนเชิงรับและมาตรการติดตามการแก้ไขสุขภาพจิตระยะยาว
4.ปัจจัยเสี่ยงและผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อม เมื่อเกิดภัยพิบัติทำให้เกิดการสูญเสียอาชีพ รายได้ ซึ่งงบประมาณสามารถใช้ได้ช่วงเกิดภัยเท่านั้นและไม่รองรับกับกลุ่มประชากรแฝง การเยียวยาหลังเกิดเหตุไม่เพียงพอ ไม่ได้สัดส่วน ควรให้ความสำคัญในขั้นตอนการเตรียมความพร้อมและการซ้อมแผนมากขึ้น และควรมีการจัดทำผังที่ดินของพื้นที่ที่แสดงภูมินิเวศ การป้องกันภัยพิบัติต่างๆ เพื่อลดการสูญเสียให้น้อยที่สุด
โดยหลังจากนี้ จะมีการนำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากที่ประชุมฯ ไปปรับปรุง (ร่าง) รายงานนโยบายสาธารณะ “การจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติจากธรรมชาติต่อระบบสุขภาพไทย” ก่อนนำเข้าสู่การให้ความเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิต่อไป