Sub Navigation Links

webmaster's News

คดีสิ่งแวดล้อม ใน ศาลไทย กระบวนการยุติธรรมที่เริ่มต้นตั้งไข่



คดีสิ่งแวดล้อม ใน ศาลไทย  กระบวนการยุติธรรมที่เริ่มต้นตั้งไข่



  ASTVผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554 นับเป็นข่าวดีสุดๆ สำหรับวงการยุติธรรมไทยและวงการสิ่งแวดล้อม ที่ศาลแพ่งและศาลปกครองได้ตัดสินใจเปิดแผนกคดีสิ่งแวดล้อมขึ้นมาเป็นการ เฉพาะ โดยศาลแพ่งได้ถือฤกษ์ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2554 เป็นวันดำเนินการวันแรก หลังจากที่ปล่อยให้ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกานำร่องเปิดแผนกนี้ตั้งแต่ปี 2548 เช่นเดียวกับศาลปกครอง ซึ่งว่ากันว่ามีคดีสิ่งแวดล้อมอยู่ล้นมือไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นคดีมาบตาพุด รวมไปถึงข้อพิพาทต่างๆ อีกมาก ระหว่างรัฐกับชาวบ้านเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ที่กำลังจะไปสร้างในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นโรงแยกขยะ โรงไฟฟ้า ฯลฯ
  ก็ขอตามติดศาลยุติธรรม ด้วยการเปิดแผนกนี้แบบทุกระดับ ตั้งแต่ศาลปกครองชั้นต้นทั้งส่วนกลาง กับส่วนภูมิภาคอีก 9 จังหวัดศาลปกครองสูงสุด ตั้งแต่ในวันที่ 2 สิงหาคม 2554 เป็นต้นมา แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสะท้อนให้เห็นความเปลี่ยน แปลงของระบบกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการบ่งชี้ที่สำคัญว่า คดีสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ และควรถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเป็นพิเศษ เพราะต้องยอมรับว่านอกจากเรื่องนี้จะอยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างสูงแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าคดีที่เกิดขึ้น เมื่อขึ้นสู่การพิจารณาของศาลก็จะกินเวลาที่ยาวนานสุดๆ ตัวอย่างเช่น คดีมาบตาพุดซึ่งเป็นปัญหาคาราคาซังมานานกว่า 2 ทศวรรษ แถมยังมีทีท่าจะลุกลามขึ้นอีก เพราะถึงตอนนี้กลุ่มทุนต่างๆ
   ก็ยังให้ความสนใจจะมาลงเงินในจุดศูนย์กลางของอุตสาหกรรมไทยแห่งนี้อย่างต่อ เนื่อง หรือแม้แต่คดีคลาสสิก อย่างกรณีของชาวหมู่บ้านคลิตี้ล่าง ซึ่งต้องเผชิญกับพิษตะกั่วที่โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยลงสู่แม่น้ำมานานกว่า 13 ปี แต่เชื่อหรือไม่ว่าคดีนี้เพิ่งเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกา แล้วไม่รู้ว่าจะยุติลงเมื่อใดกันแน่ เพราะฉะนั้นจึงอาจจะกล่าวได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้นับว่าเป็นเรื่องต้องจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะนี่อาจจะเป็นการพลิกโฉมของวงการยุติธรรมใหม่หน้าหนึ่ง โดยเฉพาะคดีสิ่งแวดล้อมซึ่งว่ากันยุ่งยากซับซ้อน และสร้างผลกระทบในวงกว้างต่อสังคมมากที่สุดเรื่องหนึ่ง [1]แต่ก่อนที่จะไปกล่าวถึงระบบการทำงานของสิ่งแวดล้อม เรื่องแรกที่คงต้องอธิบายให้ชัดเจนกันก่อนก็คือ ความแตกต่างหรือความพิเศษของคดีสิ่งแวดล้อมเมื่อเทียบกับคดีทั่วๆ ไปนั้นเป็นเช่นใด ดร.สุนทรียา เหมือนพะวงศ์ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญคดีประเภทนี้ อธิบายว่า หากมองเผินๆ หลายคนคงไม่เห็นความแตกต่างอะไรมากนัก เพราะเอาเข้าจริง คดีสิ่งแวดล้อมก็คือคดีละเมิดประเภทหนึ่งนั่นเอง เช่น หากคุณเดินถนนอยู่ดีๆ แล้วมีรถมาชน คุณก็คือผู้เสียหาย ซึ่งก็เหมือนกับคุณอยู่บ้านเฉยๆ จู่ๆ วันหนึ่งก็มีโรงงานอุตสาหกรรมมาตั้ง
   แล้วปล่อยควันพิษ น้ำเสียออกมา คุณก็ถือเป็นผู้เสียหายเช่นกัน แต่หากมองให้ลึกๆ ให้เห็นว่า นี่คือคดีที่มีความซับซ้อน เป็นคดีปัญหาของผู้บริโภคประเภทหนึ่ง ก็จะพบว่าเรื่องนี้ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อใครคนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังส่งผลคนจำนวนมากอีกด้วย เพราะฉะนั้นการมีเครื่องมืออะไรสักอย่างเข้ามาจัดการ เพื่อทำให้กระบวนการเรียกร้องสิทธิทำได้ง่ายขึ้นก็ถือเป็นเรื่องที่จำเป็น “คดีพวกนี้มันมีความซับซ้อน มีเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะเรื่องมลพิษถือว่าชัดมาก เพราะมันจะมีตั้งแต่เรื่องสารอะไรเกิดขึ้น พิสูจน์อย่างไร น้ำใต้ดินหรือดินเสียมาจากไหน ซึ่งเราเรียกว่าความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งพิสูจน์ได้ยาก หรือเรื่องจีเอ็มผิดไม่ผิด “และถ้าย้อนไปดูสมัยที่ยังไม่มีศาลปกครอง ตอนแรกก็มักจะเป็นคดีระหว่างเอกชนกับเอกชน แต่พอมันใหญ่ขึ้นหรือมีผลกระทบมากขึ้น ก็จะพันไปกับหน่วยงานของรัฐทันที
  ยกตัวอย่าง เช่นเราเลี้ยงหมูตัวหนึ่งที่บ้านไม่เป็นปัญหา แต่พอเลี้ยงเป็นฟาร์มก็ต้องมีหน่วยงานสาธารณสุขมาให้อนุญาต หรือแม้กระทั่งร้านอาหาร กฎหมายสาธารณสุขก็เข้ามาเหมือนกัน เพราะนั่นแสดงว่าคุณเริ่มมี ผลกระทบต่อสังคมมากขึ้น ซึ่งถ้าระบบย่อยก็ผ่านเทศบาล แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆ ก็เป็นระดับกรม กระทรวง บางทีก็ข้ามกระทรวงเลยก็มี “เพราะฉะนั้นเรื่องสิ่งแวดล้อมนี้ หากรัฐอนุมัติไม่ถูกหรือคุมไม่ดี ก็จะกลายเป็นว่ารัฐเข้าไปเสริมเอกชนกลุ่มหนึ่งให้ไปทำร้ายเอกชนอีกกลุ่ม หนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ ดังนั้นอย่างคดีแพ่ง ถ้าไปคิดแบบเดิมมันทำอะไรไม่ได้เลย แต่พอมีระบบปกครองเข้ามาก็ช่วยได้ เช่น รัฐทำอะไรไม่ดี ศาลปกครองก็สามารถเพิกถอนใบอนุญาตได้ แต่ถามว่าเขาทำได้เต็มที่หรือยัง เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องใหม่ ความท้าทายก็คือเวลาพิจารณามันก็ต้องมีการชั่งน้ำหนักว่าระหว่างผู้ที่ได้ รับผลกระทบหรือผู้ที่ป่วยซึ่งรับมลพิษกับผู้ประกอบการที่รัฐอนุญาต แถมยังมีเรื่องเศรษฐกิจของประเทศเข้ามาเกี่ยว ศาลปกครองจะทำอย่างไรให้สมดุล ซึ่งถ้าไปคุมมากศาลก็จะถูกด่าว่า คุณใช้อำนาจแทนรัฐหรือเปล่า ขณะที่อีกฝ่ายก็จะบอกว่าคุณมีอำนาจมากขนาดนี้ ทำไมไม่ใช้ให้เพียงพอ เพราะฉะนั้นมันจึงมีความซับซ้อนสูงมาก” ที่สำคัญ ต้องยอมรับด้วยว่า
  คดีพวกนี้มักจะเกี่ยวพันกับผู้มีอิทธิพล ผู้มีอำนาจทางบ้านเมือง รวมไปถึงกลุ่มทุนต่างๆ ก็ยิ่งทำให้คดีสิ่งแวดล้อมมีความซับซ้อนมากขึ้นไปอีก ไม่แค่นั้น บุคลากรในแวดวงยุติธรรมที่เป็นอยู่ก็ถือเป็นปัญหา เพราะคนที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องนี้ก็มีอยู่จำนวนน้อยนิด โดย สุทธิ อัชฌาศัย แกนนำเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก ซึ่งต่อสู้เรื่องของสิ่งแวดล้อมมาอย่างยาวนาน สะท้อนปัญหาให้เห็นว่า สิ่งที่ลำบากที่สุดของเรื่องนี้ก็คือข้อมูล โดยชาวบ้านจะต้องเป็นคนเตรียมข้อมูลเอง และข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่อธิบายปากเปล่าไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่ชำนาญงานเข้ามาช่วยทำ ซึ่งสุดท้ายก็จะตามมาด้วยค่าใช้จ่ายอีกมากมาย และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ โอกาสที่ชุมชนได้รับข้อมูลทางวิชาการที่เป็นประโยชน์ในการต่อสู้คดีก็ยิ่ง
   เป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ดี ก็ใช่ว่าคดีสิ่งแวดล้อมจะมีแต่ปัญหาสักทีเดียว เพราะในมุมของทนายความอย่าง สุรสีห์ พลไชยวงศ์ กรรมการสภาทนายความ จังหวัดกาญจนบุรี ฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ซึ่งทำคดีชาวหมู่บ้านคลิตี้ ก็ยังบอกข้อดีของคดีเหล่านี้ โดยเฉพาะคดีแพ่งนั้นอายุความไม่ได้แค่ 1 ปีเหมือนคดีปกติ และมีถึง 10 ปีเลยทีเดียว ที่สำคัญในเรื่องภาวะการพิสูจน์ โดยทั่วไปฝ่ายโจทก์จะเป็นผู้พิสูจน์ แต่คดีสิ่งแวดล้อมนั้นกลับกัน เพราะถือว่าใครเป็นผู้ครอบครองสารพิษอยู่ในมือ ฝ่ายนั้นถือเป็นผู้ต้องสงสัย ทำให้โอกาสที่ฝ่ายผู้เสียหายจะชนะก็มีสูงมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่สามารถลบความรู้สึกของผู้ได้รับผลกระทบได้มากนัก อย่างเรื่องของ ยะเสาะ นาสวนสุวรรณ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านคลิตี้ล่าง ที่เล่าถึงผลพวงจากความล่าช้าว่า ตอนนี้มันได้ส่งผลต่อการเยียวยาสภาพร่างกายและตลอดจนลำห้วยซึ่งถือเป็นหัวใจ หลักของชาวบ้านจนยากจะเยียวยาได้แล้ว “เรื่องนี้ยืดเยื้อมานานกว่า 10 ปีแล้ว ชาวบ้านเขาต้องอดทน จากการใช้น้ำลำห้วย แต่ก่อนมันหากินได้ เดี๋ยวนี้มันต้องหาซื้อ อย่าง ปลา หรืออะไร เพราะน้ำมันกินใช้ไม่ได้ ชาวบ้านเขาก็แค่ต้องการค่าชดเชยบ้างเพราะมันไม่มีรายได้ ถ้าไม่ได้ก็อยู่ลำบาก” [2]จากปัญหาและสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ นี้เองส่งผลให้ผู้ที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้
  ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า คงถึงเวลาแล้วที่มีระบบการจัดการอะไรที่เป็นพิเศษ และมีวิธีพิจารณาแบบเดียวกับการคุ้มครองผู้บริโภค เพราะคดีสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นความเสียหายของคนจำนวนมาก เพราะฉะนั้นการจะทำอะไรขึ้นมา ก็ควรจะยึดหลักที่ว่า ผู้คนสามารถเข้าถึงได้เร็ว ถูก และประหยัด เพราะผู้ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่ก็เป็นประชาชนธรรมดาๆ นี้เอง และแน่นอน การตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมใหญ่ก็เป็นประชาชนธรรมดาๆ นี้เอง และแน่นอน การตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมภายในศาลแพ่งและศาลปกครอง ดร.สุนทรียาก็ยอมรับตามตรงว่า นับเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะถือเป็นก้าวแรกของการจัดกลุ่มคดีนี้ให้ชัดเจนมากขึ้น แทนที่จะต้องพิจารณาไปตามลำดับขั้นของคดีทั่วไป และเมื่อเป็นเช่นนี้คงไม่ยากต่อการพัฒนาไปสู่ระบบที่ดีขึ้นกว่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม
   ก็ใช่หมายความว่าสุดท้ายแล้วเรื่องสิ่งแวดล้อมจะได้รับการแก้ไขสำเร็จ เพราะสิ่งสำคัญมากกว่านั้นก็คือ แม้ศาลจะมีประสิทธิภาพและมีเครื่องมืออยู่ในมือมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ศาลไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรม หรือศาลปกครองควรจะทำก็คือ การเปลี่ยนบทบาทของตัวเองมาทำงานเชิงรุกมากขึ้น ตัวอย่างตามเมืองใหญ่ๆ ที่มีคดีพวกนี้เยอะๆ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ สงขลา ระยอง ก็ควรจะมีการจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมขึ้นมา ซึ่งการจะทำได้นั้นศาลก็ต้องมีความพร้อมค่อนข้างสูง โดยเฉพาะบุคลากรที่มีความรู้ ความสนใจในประเด็นนี้ และต้องนำมาใช้ให้ถูกกับงาน “ตอนนี้บุคลากรที่เข้าใจเรื่องพวกนี้ก็มีบ้าง แต่ยังไม่ถูกเอามาใช้อย่างเป็นระบบ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องรีบทำ ให้มีการแลกเปลี่ยนกันฟัง คนที่เคยทำคดีแล้วช้า มันเป็นยังไง มาเล่าให้ศาลฟังผู้พิพากษาตั้งที่ปรึกษาที่ช่วยทำงานด้วยได้ไหม ขณะเดียวกัน ศาลก็ต้องทำให้ชาวบ้านสามารถนำเรื่องเข้าสู่ศาลได้ง่ายๆ เช่น มีทนายความที่จะช่วยเขาได้โดยเสียเงินน้อยๆ รวมทั้งระดมสรรพกำลังร่วมกันไม่ใช่ผู้พิพากษาทำฝ่ายเดียว คือต้องมี เอ็นจีโอ นักวิชาการมาช่วย “ยกตัวอย่างเช่นเรื่องมลพิษ ความเสียหายนับจากอะไร สมมติตะกั่วในเลือดสูงกว่าปกติ แต่หมออาจจะบอกว่ายังไม่ป่วย เรื่องพวกนี้เราจะต้องรู้ว่าป่วยหรือยัง ควรถูกเยียวยาหรือยัง แล้วป่วยเพราะโรงงานนี้หรือเปล่า อย่างมาบตาพุดมีโรงงานสัก 100 โรงก็ต้องรู้ว่าป่วยเพราะโรงงานไหน ถ้าเรามีเครื่องมือแบบนี้ก็จะสามารถทำงานเชิงรุกได้ เพราะเราต้องเข้าใจก่อนว่าเรื่องช้าหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม” เช่นเดียวกับสุทธิที่มองว่า ปัญหาหนึ่งซึ่งคาเท่ากับเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม” เช่นเดียวกับสุทธิที่มองว่า ปัญหา หนึ่งซึ่งคาอยู่ในใจของผู้ที่เกี่ยวข้องมากที่สุด ก็คือเรื่องเวลา ซึ่งการปรับเปลี่ยนคร

Facebook

เข้าสู่ระบบ to rate

อันดับความนิยม:

อัพโหลดโดย:  webmaster

วันที่อัพโหลด:  15th May 12

จำนวนผู้ชม:  35737

ความคิดเห็น:  0

ข่าวที่ชื่นชอบ:  0

หมวด:   ข่าวสารน่ารู้

แจ้งข่าวไม่เหมาะสม

ชื่นชอบ

ส่งอีเมล์ถึ่งเพื่อน

๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝวท๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝวข๏ฟฝอง