นโยบายการตรวจสุขภาพที่จำเป็นและเหมาะสมสำหรับประชาชน
การตรวจสุขภาพ หมายถึง
การตรวจสุขภาพของผู้ที่ยังไม่มีอาการแสดงของการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับการ
ตรวจนั้น เพื่อค้นหาโรคและให้การบำบัดรักษาตั้งแต่ระยะแรก
รวมถึงการหาปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเพื่อนำไปสู่การปรับพฤติกรรมและการส่งเสริม
สุขภาพของผู้ที่รับการตรวจ
๒. การตรวจสุขภาพในที่นี้ ไม่รวมถึง (๑)
การตรวจสุขภาพผู้ที่มาขอปรึกษาแพทย์ด้วยอาการเจ็บป่วย
หรือภาวะความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง และ (๒) การตรวจสุขภาพผู้ที่มีโรค
หรือภาวะเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ)
เพื่อค้นหาภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับโรคที่เป็น
๓. การตรวจสุขภาพที่จำเป็นและเหมาะสม หมายถึง
การตรวจสุขภาพอย่างสมเหตุสมผลตามหลักวิชา โดยแพทย์
หรือบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ได้รับมอบหมาย
ที่มุ่งเน้นการสัมภาษณ์ประวัติที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และการตรวจร่างกาย
ส่วนการตรวจทางห้องปฏิบัติการจะทำเฉพาะรายการที่มีข้อมูล
หลักฐานที่บ่งชี้แล้วว่ามีประโยชน์คุ้มค่าแก่การตรวจ
เพื่อค้นหาโรคและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค
และนำไปสู่การดูแลสุขภาพด้วยตนเองและการบำบัดรักษาอย่างถูกต้องแต่เนิ่นๆ
๔. ประชาชน หมายถึง
บุคคลทั่วไปที่ไม่มีอาการแสดงของการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคที่ต้องการ
ตรวจ หรือไม่เคยทราบว่าเป็นโรคที่ต้องการตรวจมาก่อน
ความสำคัญของปัญหา สถานการณ์และแนวโน้ม
๕.
จากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายพบว่าประชาชนบางส่วนไม่
ตระหนักถึงความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือป่วยเป็นโรค
โดยกว่าหนึ่งในสามของผู้ที่เป็นเบาหวานไม่ทราบว่าตนเองเป็นเบาหวานและกว่า
ครึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูงไม่เคยได้รับการวินิจฉัยมาก่อน[๑]
นอกจากนี้ยังพบว่าระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๕๐ สตรีอายุ ๑๕-๕๙ ปี
เคยได้รับการตรวจมะเร็งปากมดลูกร้อยละ ๔๒.๕ ในขณะที่ก่อนปี พ.ศ.๒๕๔๙
เคยได้รับการตรวจเพียงร้อยละ ๑๘.๓[๑]
ทั้งที่มะเร็งปากมดลูกสามารถตรวจพบในระยะแรกได้ด้วยวิธีง่ายๆ (Pap smear)
และสามารถให้การบำบัดรักษาได้ผลดี
๖. มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่ทำให้สตรีไทยเสียชีวิตมากเป็นอันดับหนึ่ง
โดยในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๕๓ พบผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก
เฉลี่ยปีละประมาณ ๕,๐๐๐ คน หรือคิดเป็นผู้เสียชีวิตประมาณวันละ ๑๔ คน[๒]
ในแต่ละปีพบผู้ป่วยรายใหม่ ประมาณปีละ ๖,๐๐๐ คน
มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาผู้ป่วยปีละประมาณ ๓๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท[๓]
๗. อย่างไรก็ตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความพยายามในการดำเนินการต่างๆ
เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
โดยจัดทำโครงการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ๗๖ จังหวัด[๓] ขึ้น
และจากการสำรวจสตรีอายุ ๓๕-๖๐ ปี ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๒
พบว่ามีสตรีที่เคยได้รับการตรวจมะเร็งปากมดลูกอย่างน้อย ๑ ครั้ง ร้อยละ ๖๘
นั่นหมายถึงยังมีสตรีในกลุ่มอายุนี้ถึงร้อยละ ๓๒
ที่ไม่เคยได้รับการตรวจมะเร็งปากมดลูกเลย[๔]
๘. ตัวอย่างดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า หากประชาชนได้รับการตรวจสุขภาพที่จำเป็น
จะช่วยค้นหาโรคและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคและนำไปสู่การปรั บเปลี่ยน
พฤติกรรมหรือการป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้อย่างทันท่วงที
อีกทั้งยังลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมได้
๙. ในขณะที่มีประชาชนบางกลุ่มไม่เห็นความสำคัญของการตรวจสุขภาพ
และไม่ได้รับการตรวจสุขภาพที่จำเป็น
แต่กลับมีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะในเขตเมืองและกลุ่มคนที่เข้าถึง
บริการที่ได้รับการตรวจสุขภาพเกินจำเป็นและไม่สมเหตุสมผล
ซึ่งส่วน หนึ่งเกิดจากความเคยชินที่ปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน
ประกอบกับขาดหน่วยงานที่กำหนดการตรวจสุขภาพที่จำเป็น ตรวจสอบ ควบคุมมาตรฐาน
รวมถึงการให้ความรู้และคำแนะนำให้ประชาชนรู้เท่าทันต่อเทคโนโลยีทางการแพทย์
ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
๑๐.
สำหรับประชาชนกลุ่มที่ได้รับการตรวจสุขภาพที่เกินจำเป็นส่วนใหญ่มัก เป็นการ
ตรวจโรค โดยให้ความสำคัญกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ซึ่งหลายรายการยังขาดข้อมูลสนับสนุนด้านประสิทธิผลและประสิทธิภาพที่เพียงพอ
และอาจส่งผลเสียต่อผู้ถูกตรวจที่มีผลการตรวจเบื้องต้นว่าเป็นโรค
โดยที่จริงๆแล้วไม่ได้เป็น ดังที่เรียกว่า “ผลบวกลวง (false positive)”
ทำให้สิ้นเปลืองและเสี่ยงต่อการที่ต้องรับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมหรือการ
รักษาโดยไม่จำเป็น
รวมทั้งเกิดความวิตกกังวลที่เกิดจากการตรวจที่ให้ผลบวกลวง[๕,๖]
นอกจากนี้หากตรวจพบว่าเป็นโรคแล้วต้องให้คำแนะนำที่เหมาะสมเพื่อนำไปสู่การ
ดูแลสุขภาพด้วยตนเอง เพราะหากขาดการแนะนำแล้ว
อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อผู้ป่วยได้[๗]
๑๑. ส่วนผู้ที่ตรวจไม่พบว่าเป็นโรค ก็อาจประมาท
และไม่ควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่มีอยู่ เช่น ภาวะน้ำหนักเกิน การบริโภคสุรา
ยาสูบ การไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น[๕] ซึ่งผลดังกล่าวอาจเป็น “ผลลบจริง
(ไม่ได้เป็นโรค)” หรือ “ผลลบลวง (false negative)”
(เป็นโรคแฝงอยู่แต่ตรวจไม่พบ) ก็ได้
อันเนื่องมาจากความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นของเทคโนโลยีทางการตรวจวินิจฉัย
ทำให้เข้าใจว่า พฤติกรรมดังกล่าวไม่มีอันตราย
และยังคงละเว้นที่จะควบคุมพฤติกรรมที่เสี่ยง
๑๒. ดังนั้น จึงควรมีการให้ความรู้และสร้างความตระหนักแก่ประชาชนถึงโอกาสของการเกิดผลบวกลวงและผลลบลวงด้วย
๑๓. จากการที่ประชาชน
โดยเฉพาะในเขตเมืองและกลุ่มคนที่เข้าถึงบริการให้ความสนใจต่อการตรวจสุขภาพ
จึงทำให้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ตรวจสุขภาพมากเกินจำเป็น
ในลักษณะของการตรวจแบบครอบจักรวาล หรือตรวจแบบเหวี่ยงแห
โดยใช้ยุทธวิธีทางการตลาดนำ เพื่อแสวงหารายได้เชิงธุรกิจ
ซึ่งพบได้ในราคาตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่นบาท[๘,๙] ทำให้ประชาชนเข้าใจว่า
การตรวจสุขภาพคือ การตรวจหาโรคและโอกาสที่จะเป็นโรค
ด้วยการมุ่งเน้นการตรวจทางห้องปฏิบัติการ[๑๐]
และมุ่งเน้นการบำบัดรักษาโดยแพทย์ และละเลยการดูแลสุขภาพตนเอง
๑๔.
รูปแบบการโฆษณาดังกล่าวนับว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อความสนใจของ
ประชาชน
ดังที่พบว่าภาคีเครือข่ายที่เข้าร่วมปฏิรูประบบสุขภาพส่วนใหญ่ได้ระบุไว้
อย่างชัดเจนว่าต้องการให้กำหนดเรื่องของการตรวจสุขภาพประจำปีเป็นสิทธิของ
ประชาชนใน (ร่าง) พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ... [๑๑]
และจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในกรุงเทพและปริมณฑลเกี่ยวกับกิจกรรม
สร้างเสริมสุขภาพที่ต้องการให้หน่วยงานจัดให้แก่ประชาชน พบว่า
กิจกรรมอันดับ ๑ ที่ประชาชนต้องการให้จัด ได้แก่ การตรวจสุขภาพ[๑๒]
ทั้งนี้ในส่วนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสุขภาพ
พบว่าประชาชนให้ความสำคัญต่อเรื่อง
“หลักเกณฑ์แนวทางการตรวจสุขภาพสำหรับประชาชน” มากที่สุด[๑๓]
๑๕. มีความเหลื่อมล้ำกันของการตรวจสุขภาพระหว่างกลุ่มผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศไทยทั้ง ๓ ระบบ ดังรายละเอียดดังนี้
๑๕.๑
ผู้ใช้สิทธิในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการสามารถรับบริการตรวจตามชุด
สิทธิประโยชน์ซึ่งเป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการได้ถึง ๑๖ รายการ
โดยมีการแบ่งตามอายุและตามเพศ
และเบิกได้ตามหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายที่ชัดเจน[๑๔]
ผู้มีสิทธิตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓
มีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๙๑๗,๓๗๓ คน[๑๕]
หากประมาณการค่าใช้จ่ายในกรณีที่ผู้มีสิทธิเข้ารับการตรวจสุขภาพทุกคนตาม
รายการตรวจที่กำหนด จะต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๑,๖๗๒,๘๙๑,๒๙๐ บาท
อย่างไรก็ตาม
ชุดสิทธิประโยชน์ของการตรวจสุขภาพนี้ยังขาดข้อมูลสนับสนุนด้านประสิทธิผลและ
ประสิทธิภาพ รวมทั้งไม่มีการติดตามและประเมินผล
ทำให้ไม่ทราบว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามาตรการดังกล่าวมีประโยชน์มากน้อย
เพียงใด และควรมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมอย่างไร
๑๕.๒ ผู้รับบริการในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ได้รับการคุ้มครองสิทธิการดูแลสุขภาพ
โดยมีการกำหนดรายละเอียดและรายการในการจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่ง
ชาติไว้ ซึ่งในปีงบประมาณ ๒๕๕๖
จัดงบประมาณเพื่อบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค สำหรับประชาชนไทย
๖๕.๔๐๔ ล้านคน เป็นเงิน ๑๕,๑๙๗ ล้านบาท[๑๖] ส่วนการตรวจสุขภาพ
ก็มีการสนับสนุนให้สถานพยาบาลทำการตรวจค้นหามะเร็งปากมดลูก ภาวะซึมเศร้า
กลุ่มโรคทางเมตาบอลิก และการติดเชื้อเอชไอวี[๑๗,๑๘,๑๙]
๑๕.๓ ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่ชัดเจน
มีเพียงการกำหนดให้นายจ้างจัดให้
มีการตรวจสุขภาพตามปัจจัยเสี่ยงและจัดให้มีสมุดสุขภาพประจำตัวลูกจ้างเท่า
นั้น ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวง
กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสุขภาพของลูกจ้าง
และส่งผลการตรวจแก่พนักงานตรวจแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๗[๒๐]
จึงทำให้ผู้ประกันตนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเองหากต้องการตรวจสุขภาพตามที่
ตนเองเห็นควร
นอกจากนี้ยังพบว่าการตรวจสุขภาพตามสิทธิดังกล่าวที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
ยังขาดคุณภาพในการตรวจกรองหาความผิดปกติที่แฝงอยู่ในร่างกาย
๑๖. ในปัจจุบันมีการเรียกร้องจากภาคประชาชนและภาคการเมือง
ให้แก้ไขพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓[๒๑]
โดยให้เพิ่มเติมในส่วนของประโยชน์ทดแทนสำหรับค่าส่งเสริมสุขภาพและป้องกัน
โรคและตรวจสุขภาพประจำปีด้วย[๒๒,๒๓,๒๔]
อย่างไรก็ตามการเรียกร้องดังกล่าวอาจเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ
เนื่องจากขาดข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับรายการตรวจสุขภาพที่จำเป็น
สำนักงานหลักประกันสังคมจึงขอให้เพิ่มเฉพาะในเรื่องค่าส่งเสริมสุขภาพและ
ป้องกันโรคไปก่อน โดยยังไม่เพิ่มในส่วนของการตรวจสุขภาพประจำปี
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าแนวทางการตรวจสุขภาพที่จำเป็นจึงมีความสำคัญต่อการ
ดำเนินงานในเรื่องนี้มาก
๑๗. นอกเหนือจากผู้มีสิทธิใน ระบบหลักประกันสุขภาพทั้ง ๓ ระบบแล้ว
ในส่วนของประชาชนที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลโดยทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกันของ
เอกชน ซึ่งมักจะทำควบคู่กับการประกันชีวิต
ก็มีส่วนของการตรวจสุขภาพเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย นอกจากนี้ ยังพบว่า
ประชากรที่มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพทั้ง ๓
ระบบจำนวนไม่น้อยไปขอรับบริการตรวจสุขภาพเพิ่มเติมจากสิทธิที่พึงได้ตามการ
โฆษณาประชาสัมพันธ์ของสถานพยาบาลต่างๆ โดยยอมเสียค่าใช้จ่ายเอง ทั้งนี้
เท่าที่มีรายงานจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ[๒๕] พบว่าในปี ๒๕๕๒
และปี ๒๕๕๔ มีจำนวนประชากรที่เข้ารับการตรวจสุขภาพทั้งสิ้น ๘๒๑,๓๑๙ คน และ
๕๔๕,๐๑๗ คนตามลำดับ
๑๘. สำหรับมูลค่าของการใช้จ่ายของประชากรเพื่อการตรวจสุขภาพนั้นในปี ๒๕๕๒
และปี ๒๕๕๔ มีมูลค่าทั้งสิ้น ๑,๕๑๐,๓๑๔,๒๕๗ ล้านบาท (เฉลี่ย ๑,๘๓๘.๘๘
บาทต่อคน) และ ๒,๒๖๓,๕๒๒,๐๒๗ ล้านบาท[๒๕] (เฉลี่ย ๔,๑๕๓.๑๒ บาทต่อคน)
ตามลำดับ
ซึ่งมูลค่าดังกล่าวเป็นการใช้จ่ายที่ประชาชนต้องรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่าย
นั้นๆ เอง โดยไม่สามารถเบิกคืนได้ เป็นที่น่าสังเกตว่าในปี ๒๕๕๔
มีจำนวนประชากรที่เข้าร่วมการตรวจสุขภาพลดลงร้อยละ ๓๓.๖๔
แต่กลับมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๔๙.๘๗
จะเห็นว่ามีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ๒,๓๑๔.๒๔ บาทต่อคน หรือกว่า ร้อยละ
๑๒๕
๑๙.
ในปัจจุบันรัฐบาลของประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ใช้มาตรการการตรวจสุขภาพเป็น
กลยุทธ์สำคัญในการป้องกันและควบคุมปัญหาสุขภาพ
เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพดี
และใช้การตรวจสุขภาพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในบางกรณี[๒๕]
โดยประเทศเหล่านี้มักมีการพัฒนานโยบายและมาตรฐานการตรวจสุขภาพอย่างต่อ
เนื่อง[๒๖,๒๗,๒๘] ดังนี้ (๑)
มีการคัดเลือกคณะกรรมการระดับชาติในการพิจารณาแนวทางการตรวจสุขภาพ
ตามคุณสมบัติที่กำหนดไว้ ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าว มีวาระในการทำงาน (๒)
มีองค์ประกอบของการทำงานร่วมกับสถาบัน/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน
เช่น หน่วยงานที่ทำหน้าที่ทบทวนและสังเคราะห์ข้อมูลหลักฐานต่างๆ
และหน่วยงานที่มีบทบาทในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงแนวทางปฏิบัติสำหรับการตรวจแต่ละรายการ (๓)
มีหน่วยงานในการกำกับและติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
และนอกจากนี้ในประเทศอังกฤษยังได้กำหนดระยะเวลาในการทบทวนนโยบายไว้ทุกๆ ๓
ปี เพื่อให้สอดคล้องกับองค์ความรู้ที่เปลี่ยนแปลงไป[๒๘]
ส่งผลให้การตรวจสุขภาพดำเนินไปอย่างเป็นระบบและมีความเท่าเทียมกัน
ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานที่มีบทบาทในการตรวจสอบและควบคุมมาตรฐาน
การดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสุขภาพ
รวมทั้งพัฒนาระบบบริการที่เหมาะสมอันเกี่ยวข้องกับการตรวจสุขภาพทั้งหมดใน
ระดับชาติ
๒๐.
ทั้งนี้มาตรการการตรวจสุขภาพดังกล่าวจะนำไปสู่การปรับพฤติกรรมและการสร้าง
เสริมสุขภาพ เพื่อให้เกิดสุขภาวะอย่างเป็นองค์รวมทั่วทั้งสังคมตามแนวทาง
“การสร้างสุขภาพ นำการซ่อมสุขภาพ” ซึ่งสอดคล้องกับ หมวด ๔
การสร้างเสริมสุขภาพ ในธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๒
๒๑. ในสังคมไทย แม้ว่าจะเคยมีหลายหน่วยงาน
องค์กรพยายามเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเพื่อสื่อสารถึงทิศทางการตรวจสุขภาพที่จำ
เป็นและสมเหตุสมผลในเรื่องของการตรวจสุขภาพ และมีการจัดทำสื่อสิ่งพิมพ์
เผยแพร่ออกมาเป็นระยะๆ ก็ตาม ดังที่พบว่าในปี ๒๕๒๐ แพทยสภา
ได้เผยแพร่บทความเรื่อง “ตรวจสุขภาพเพื่อแพทย์หรือประชาชน”
ลงในแพทยสภาสาร[๒๙] และต่อมาในปี ๒๕๔๓ แพทยสภายังได้จัดทำ
“แนวทางการตรวจสุขภาพของประชาชนไทย”[๓๐] ซึ่งในปีเดียวกันมูลนิธิ
หมอชาวบ้านก็ได้เผยแพร่บทความ “ตรวจสุขภาพ ถึงเวลาต้องคิดกันใหม่
ไม่เจ็บตัวไม่เสียใจโดยไม่จำเป็น” ลงในนิตยสารหมอชาวบ้าน[๓๑]
และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ก็ได้จัดทำ
“แนวทางการตรวจและการสร้างเสริมสุขภาพสำหรับประชาชนไทย” ด้วย[๓๒] ในปี
๒๕๔๕ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าได้จัดการประชุมวิชาการประจำปี เรื่อง
“การตรวจคัดกรองสุขภาพที่เหมาะสมสำหรับคนไทย” [๓๓]
ในขณะที่สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติได้จัดทำสื่อสิ่งพิมพ์
“ตรวจสุขภาพอย่างไร แค่ไหน จึงจะดี”
และรณรงค์ให้สังคมเข้าใจถึงทิศทางการตรวจสุขภาพที่สมเหตุสมผล ในปีพ.ศ.
๒๕๔๖[๓๔]
แต่ความพยายามเผยแพร่ข้อมูลที่ผ่านมายังไม่มีประสิทธิผลในการทำให้ประชาชน
ทั่วไปรับรู้ มีความเข้าใจและรู้เท่าทันในเรื่องนี้
ประกอบกับการดำเนินการดังกล่าวขาดการเชื่อมโยงการทำงานเพื่อผลักดันให้เป็น
ระดับนโยบาย และมีการดำเนินการในลักษณะที่ไม่เป็นเอกภาพและขาดความต่อเนื่อง
รวมทั้งขาดกลไก (หน่วยงานหลักและงบประมาณในการวิจัยและพัฒนา)
ในการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการที่ต่อเนื่อง
อีกทั้งยังขาดระบบการติดตามและประเมินผลนโยบายการตรวจสุขภาพอย่างเป็นระบบใน
ระดับประเทศ
ประกอบกับนโยบายการตรวจสุขภาพต้องมีการยอมรับจากสภาวิชาชีพเพื่อให้นำไป
ปฏิบัติได้
๒๒. อย่างไรก็ตาม ในปีพ.ศ. ๒๕๕๒ ได้มีความพยายามของหน่วยงานต่างๆ
ในการศึกษาถึงแนวทางการตรวจและการสร้างเสริมสุขภาพในประเทศไทย[๓๕] เช่น
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
และสถาบันการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์
ซึ่งในเบื้องต้นมีข้อสรุปถึงแนวทางการตรวจและการสร้างเสริมสุขภาพโดยมีข้อ
พิจารณาในการสร้างเสริมสุขภาพและการตรวจคัดกรอง ๓ ส่วน ดังนี้ (๑)
ความชุกและความรุนแรงของโรค
ได้ข้อสรุปว่าควรเลือกคัดกรองโรคที่มีความชุกอุบัติการณ์สูง (๒)
ประสิทธิภาพของการทดสอบในการตรวจคัดกรอง
ได้ข้อสรุปว่าให้มีการทดสอบเฉพาะที่มีความปลอดภัยสูง
มีความไวและความจำเพาะสูงเพื่อลดอัตราการเกิดผลบวกลวงและผลลบลวง (๓)
ประสิทธิภาพของการรักษาเมื่อตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้น
ได้ข้อสรุปว่าให้คัดกรองเฉพาะโรคที่มีวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพ
๒๓. นอกจากนี้โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ[๒๕]
กระทรวงสาธารณสุข
ยังได้วิจัยเรื่องการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ด้านการตรวจสุขภาพระดับประชากรใน
ประเทศไทยโดยหัวข้อดังกล่าวเป็นหัวข้อวิจัยที่ได้จากการจัดลำดับความสำคัญ
ประจำปี ๒๕๕๔ ซึ่งเสนอโดยสำนักมาตรฐานค่าตอบแทนสวัสดิการ กรมบัญชีกลาง
ผลการศึกษาพบว่าค่าใช้จ่ายของชุดสิทธิประโยชน์การตรวจสุขภาพในระบบสวัสดิการ
พยาบาลข้าราชการเดิมนั้น เฉลี่ยประมาณ ๕๓๐ - ๑,๒๐๐ บาท/คน/ปี
ในขณะที่ชุดสิทธิประโยชน์ที่พัฒนาขึ้นในโครงการมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ
๓๘๐ - ๔๐๐ บาท/คน/ปี ขึ้นอยู่กับเพศและกลุ่มอายุ
ค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าเดิมเป็นเพราะมีหลายรายการที่ไม่ได้แนะนำให้ตรวจทุกปี
อีกทั้งหลายรายการที่เป็นการตรวจที่มีค่าใช้จ่ายสูง
แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามีประโยชน์หรือเป็นการตรวจที่ไม่เฉพาะเจาะจง
๒๔. โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพจึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ดังนี้
๒๔.๑ นำผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการอย่างสมเหตุสมผล
๒๔.๒ ให้ความรู้แก่ประชาชน ไม่ให้หลงเชื่อคำโฆษณา และรับการตรวจสุขภาพที่เกินความจำเป็น
๒๔.๓ สนับสนุนการอบรม พัฒนาทักษะของบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีความสามารถในการให้บริการตรวจสุขภาพในระดับชาติ
๒๔.๔
ให้การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงนโยบายการตรวจสุขภาพอย่างต่อ
เนื่อง
เพื่อให้มั่นใจได้ว่านโยบายมีความทันสมัยและเหมาะสมกับสังคมไทยอย่างแท้จริง
๒๕. องค์การอนามัยโลกได้กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการตรวจสุขภาพ[๓๖] ไว้ดังนี้
(๑)โรคหรือภาวะนั้นต้องเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของประเทศ (๒)
ต้องเป็นโรคหรือภาวะที่สามารถรักษาได้ (ถ้าหายขาดได้ยิ่งดี)
(๓)ระบบการให้บริการสาธารณสุขต้องมีความพร้อมด้านเครื่องมือที่ใช้วินิจฉัย
โรคและมีการรักษารองรับ (๔)
ควรเป็นการคัดกรองโรคหรือภาวะที่อยู่ในระยะที่ยังไม่ก่อให้เกิดอาการ (๕)
ต้องสามารถจัดหาเครื่องมือคัดกรองโรคหรือภาวะนั้น ๆ แก่สถานพยาบาลได้ (๖)
เครื่องมือคัดกรองโรคหรือภาวะต้องใช้ง่าย ไม่ยุ่งยาก
และเป็นที่ยอมรับของประชากร (๗)
ต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินโรคหรือภาวะที่จะทำการคัดกรองเป็นอย่าง
ดี (๘) มีมาตรการที่ตกลงกันก่อนว่าใครเป็นผู้สมควรได้รับการการรักษา (๙)
ค่าใช้จ่ายในการคัดกรองต้องคุ้มค่าและสมดุลกับงบประมาณด้านสาธารณสุขโดยรวม
(๑๐)
การคัดกรองต้องกระทำอย่างต่อเนื่องไม่ใช่ทำเป็นโครงการที่มีการดำเนินการ
เพียงครั้งเดียว
บทบาทของผู้มีส่วนได้เสียสำคัญ และการดำเนินการในประเทศไทย
๒๖. การดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน ได้แก่
๒๕.๑ สภาวิชาชีพด้านเวชกรรม สถาบันทางวิชาการ และกระทรวงสาธารณสุข
มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาวิจัย
พัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการตรวจสุขภาพที่จำเป็นและสมเหตุสมผล
๒๕.๒ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
สำนักงานประกันสังคมและกระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง
มีบทบาทในการกำหนดนโยบายค่าใช้จ่าย
และรายการตรวจสุขภาพที่จำเป็นและเหมาะสมสำหรับประชาชน อย่างไรก็ตาม
การพิจารณากำหนดค่าใช้จ่าย
และหลักเกณฑ์แนวทางในการตรวจต้องอาศัยองค์ความรู้ทางวิชาการมาใช้ประกอบการ
ตัดสินใจ
๒๕.๓ องค์กรภาคธุรกิจ หลายองค์กรมีระบบสวัสดิการในการตรวจสุขภาพพนักงาน
ลูกจ้าง คนงาน หรือกลุ่มแรงงาน
และจำเป็นต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการตรวจสุขภาพ และหลายกรณี
อาจไม่ได้ใช้ประโยชน์ของบริการการตรวจร่างกายในการส่งเสริมสุขภาพของ
พนักงานฯ นอกจากนี้ ยังมีภาคธุรกิจการบริการทางการแพทย์บางแห่ง
จัดบริการและโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนรับบริการตรวจร่างกาย
โดยบริการบางชนิดมีราคาแพงและไม่จำเป็น
๒๕.๔ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หลายแห่งเริ่มให้ความสนใจ
และดำเนินการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งมีอยู่จำกัด
ในการจัดหาบริการตรวจร่างกายแก่ประชาชนในชุมชน
โดยอาจเป็นบริการที่ด้อยคุณภาพและไม่มีมาตรฐาน
๒๕.๕ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
สถานพยาบาลของรัฐ แพทยสภา สภา/สมาคมวิชาชีพ และหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค
เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร/รณรงค์เพื่อให้ประชาชนรับทราบและเข้าใจถูกต้องเกี่ยว
กับทิศทางการตรวจสุขภาพที่จำเป็นและเหมาะสม
๒๕.๖
กลไกหรือหน่วยงานที่มีบทบาทหน้าที่ในการพัฒนาระบบบริการที่เหมาะสมซึ่ง
เกี่ยวข้องกับการตรวจสุขภาพในระดับชาติ
ประกอบด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์/แนวทางการตรวจสุขภาพที่จำเป ็นและเหมาะสม
การตรวจสอบ ควบคุมมาตรฐาน การให้ความรู้หรือคำปรึกษาแก่ประชาชน
และติดตามการดำเนินงาน
ประเด็นพิจารณาของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ขอให้สมัชชาสุขภาพแห่งชาติพิจารณาเอกสาร สมัชชาสุขภาพ ๖/ร่างมติ ๔ นโยบายการตรวจสุขภาพที่จำเป็นและเหมาะสมสำหรับประชาชน
|