ตามที่มีข่าวว่ากระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายเร่งพัฒนาโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยต้นแบบ ๔ ภาค ที่เชียงราย สกลนคร ปราจีนบุรี และสุราษฎร์ธานีหรือชุมพรนั้น น.พ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) ให้ข้อมูลว่าเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับที่เขียนไว้ในธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๒ ที่มีครม.เห็นชอบและรัฐสภารับทราบ ซึ่งมีผลผูกพันหน่วยงานของรัฐอย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่ปลายปี ๒๕๕๒ แต่ควรเน้นพื่อการพัฒนาภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยเพื่อการดูแลสุขภาพคนไทยเป็นหลัก ไม่ไช่เพื่อการค้า การส่งออก หรือการเสริมความงาม
   “ในธรรมนูญสุขภาพฯหมวดที่๗ข้อ๖๐ระบุไว้ว่า “ให้มีโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยเพื่อเป็นต้นแบบที่มีมาตรฐานในการให้บริการ การศึกษาวิจัยและการฝึกอบรมบุคลากร อย่างน้อยภาคละ ๑ แห่ง” ดังนั้นจึงน่าชื่นชมที่กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายชัดเจนที่จะหนุนให้เกิดโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยที่เป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพราะเรื่องนี้ประเทศไทยช้ามานานแล้ว อย่างที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายก็มีศั กยภาพพร้อมที่จะทำเรื่องนี้ เขามีวิทยาลัยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้านเปิดสอนมาหลายปีถึงระดับปริญญาเอกแล้ว และมีความตั้งใจที่จะเปิดโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยต้นแบบมานานแล้ว ที่สกลนครก็มีทางมหาวิทยาลัยราชภัฏทำงานเรื่องน ี้อยู่แล้ว และที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ จ. ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขเองก็มีการพัฒนาเรื่องนี้ต่อเนื่องมานาน โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยนี้
  ทุกฝ่ายก็เห็นพ้องต้องกัน จนมาช่วยกันเขียนเป็นเป้าหมายไว้ในธรรมนูญสุขภาพแห่งชาติเพื่อใช้เป็นกรอบนโยบายและเป้าหมายของระบบสุขภาพแห่งชาติแล้ว ดังนั้นการที่กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ จึงถือว่าเป็นที่น่ายินดี และควรตั้งงบประมาณให้ทันปี๒๕๕๔นี้เลย หรือรัฐบาลจะให้ใช้งบประมาณอื่นเพื่อให้สามารถแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้รวดเร็วยิ่งขึ้นก็ยิ่งดี” นพ.อำพลฯกล่าว พร้อมกับกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “เข้าใจว่ากระทรวงสาธารณสุขคงไม่คิดที่จะทำเองทั้งหมด แต่พยายามมองดูว่าหน่วยงานใดองค์กรใดนอกกระทรวงสาธารณสุขที่มีศักยภาพและทำงานด้านนี้อยู่แล้ว ก็จะเข้าไปสนับสนุนให้เขาทำให้ได้ อย่างนี้เป็นวิสัยทัศน์ที่น่าชื่นชม แต่แนวคิดหลักของการพัฒนาโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยต้นแบบ เป็นการเน้นเพื่อการพัฒนาองค์ความรู้การแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้านของไทย การศึกษาวิจัยและการพัฒนาคน ไม่ไช่เพื่อการมุ่งพัฒนาผลผลิตทางการค้าเพื่อการส่งออก หรือการเสริมความงาม เพราะถ้ามุ่งอย่างหลังก็จะทำให้เป้าหมายการจัดตั้งโรงพยาบาลการแพทย์เบี่ยงเบนไปจากที่ควรจะเป็น
   ในทางตรงกันข้าม ถ้าโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยสามารถพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นจนนำมาใช้ในการดูแลสุขภาพคนไทยทดแทนการใช้ยาใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ตะวันตกได้มากขึ้นเท่าใด ซึ่งสามารถใช้ได้ดีและใช้ได้มากกับผู้ป่วยเรื้อรังต่างๆที่กำลังมีปริมาณมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เราก็จะประหยัดรายจ่ายค่ายา ค่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ตะวันตกที่ต้องเสียออกไปนอกประเทศลงได้มากขึ้นๆ ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม” อนึ่ง ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ จัดทำขึ้นตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๐
  เพื่อใช้เป็นกรอบการกำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนาระบบสุขภาพของชาติ มีสาระสำคัญรวม ๑๒ หมวด จำนวน ๑๑๑ ข้อ ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพอยู่ในหมวดที่ ๗ ข้อ ๕๓-๖๗ ซึ่งการดำเนินการเพื่อให้บรรลุผลนั้น นอกจากกระทรวงสาธารณสุขจะต้องเป็นหลักสำคัญในการสนับสนุนการแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติแล้ว ยังมีคณะกรรมการคณะกรรมการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพที่แต่งตั้งขึ้นตามมติของคณะรัฐ มนตรีทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและให้ข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและต่อคณะรัฐมนตรีอีกด้วย