ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

          เมื่อเร็ว ๆ นี้ มูลนิธิชีววิถีร่วมกับเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีเกษตรประเทศไทยเครือข่าย เกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน เครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืนเครือข่ายภูมิปัญญาอีสาน จังหวัดมหาสารคาม จัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้ผลกระทบจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและติดตามการขึ้น ทะเบียนสารเคมี 4 ชนิด

          ผศ.ดร.น.พ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาสารเคมีการเกษตรตกค้างในพืชผักผลไม้ของไทยอยู่ในขั้นวิกฤต เพราะขาดมาตรการกำกับการใช้สารเคมีของภาครัฐ เป็นเหตุให้ไทยต้องแบนตัวเองไม่ส่งสินค้าเกษตรไปอียู ดังนั้นรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับผู้บริโภคในประเทศ เพราะยอดคนตายจากโรคมะเร็งสูงกว่าโรคเอดส์ และอุบัติเหตุหลายปีติดต่อกัน แล้วที่สำคัญรัฐควรแบนสารเคมีการเกษตร 4 ชนิดที่หลายประเทศเลิกใช้แล้ว ได้แก่ carbofuran (คาร์โบฟูราน)dicrotophos (ไดโครโตฟอส) EPN (อีพีเอ็น) และ methomyl (เมโทมิล)พร้อมขึ้นทะเบียนสารเคมีเกษตรใหม่ทั้งหมด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องปฏิรูปการควบคุมสารเคมีการเกษตรอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพประชาชนในประเทศ

           “นานาชาติตื่นตัว ต่อปัญหาสารเคมีเกษตร เพราะจากการศึกษาในประเทศต่าง ๆ พบว่า สารเคมีกำจัดศัตรูพืชหลายชนิดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง และอีกหลายโรคโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของหลายประเทศ สถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบว่าในแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง มากถึง 55,000 คน ดังนั้นสังคมไทยจึงไม่ควรเพิกเฉยกับปัญหานี้”

           ด้านนายอุบล อยู่หว้า ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน กล่าวว่า เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เครือข่ายเกษตรกรรักษ์สุขภาพได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ และอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ยุติการนำเข้าและการขึ้นทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างน้อย 4 ชนิดดังกล่าว เพราะจะก่อให้เกิดปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพสิ่งแวดล้อม และผู้บริโภคทั่วไป และขอให้กรมวิชาการเกษตรเปิดเผยข้อมูลการขึ้นทะเบียน อีกทั้งเรียกร้องให้มีการควบคุมการโฆษณาและการส่งเสริมการขายของบริษัทสาร เคมีการเกษตรอย่างเข้มงวด รายงานข่าวแจ้งว่า ในปี 2552 จังหวัดมหาสารคามมีการจัดซื้อสารเคมีกำจัดศัตรูพืชแจกเกษตรกรในพื้นที่เกิด โรคระบาดพืชจำนวน 123,198 กิโลกรัมมูลค่า 46,643,250 บาท ในปี 2553 จัดซื้อ 323,407 กิโลกรัม มูลค่า 88,697,400 บาท และมีร้านค้าจดทะเบียนกับทางราชการเพื่อจำหน่ายสารเคมี 151 ร้านคาดว่ายังมีผู้จำหน่ายที่ไม่จดทะเบียนมีอีกเท่าตัว