แนะใส่ใจสัญญาณเตือนคนรอบข้าง ช่วยยับยั้งความคิดฆ่าตัวตาย

นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัญหาการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวมาก บางครั้งทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ หุนหันพลันแล่น เป็นภาวะที่ขาดสติ เกิดขึ้นมาแบบควบคุมตนเองไม่ได้ แต่ที่จริง คนที่คิดฆ่าตัวตายมักส่งสัญญาณบอกคนใกล้ชิดให้ทราบ อาทิ การส่งข้อความ ภาพ คลิปวีดีโอ ข่มขู่ ตัดพ้อ หรือพูดจาสั่งเสียเป็นนัยยะ หรือการแสดงภาพวิธีที่จะใช้ฆ่าตัวตาย ถือเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญที่สุดที่จะเกิดการทำร้ายตนเองจริงได้ อย่ามองว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจ ไร้สาระ หรือล้อเล่น แต่คือความพยามร้องขอความช่วยเหลือ ดังนั้นอยากให้ใส่ใจกับสัญญาณเตือนที่คนรอบข้างส่งมาและช่วยยับยั้งความคิดนั้นให้พ้นช่วง 24 ชั่วโมงไปได้ ความคิดการฆ่าตัวตายจะลดลง ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือการทำให้เขาตั้งสติให้ได้ด้วยการรับฟัง ให้ข้อคิด มีองค์ความรู้หรือทักษะในการสื่อสารเพื่อช่วยเปลี่ยนการตัดสินใจนั้นได้ หากจัดการไม่ได้ก็ช่วยประสานไปยังคนที่สามารถช่วยเหลือได้ เช่น คนที่เขารักไว้ใจหรือใกล้ชิดที่สุด เพื่อช่วยดึงสติเขากลับมา หรือขอความช่วยเหลือจากโทรศัพท์สายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือ 191 หรือสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อให้ผู้ที่คิดฆ่าตัวตายเข้าสู่ระบบการช่วยเหลือโดยเร็ว

นพ.เจษฎา กล่าวอีกว่า ผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเอง อาทิ ผู้ที่กำลังอยู่ในภาวะวิกฤติชีวิต ไม่สามารถปรับตัวต่อการแก้ไขปัญหาในชีวิตได้ มีอารมณ์หรือบุคลิกแบบหุนหันพลันแล่น ก้าวร้าวรุนแรง หรือ กำลังประสบกับความผิดหวัง ล้มเหลว สูญเสียคนรัก คนในครอบครัว เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง หรือ โรคจิตเวชบางชนิด เช่น โรคซึมเศร้า โรคจิต ทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วย ติดสุรา ยาเสพติด มีบุคคลในครอบครัว เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเคยมีประวัติทำร้ายตัวเองหรือมีความพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน จะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ส่วนแนวทางป้องกันในระดับบุคคล โดยพื้นฐานหลักแล้วคือการมีวิธีจัดการกับความเครียดที่ดี อาทิ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ยึดหลักศาสนาเป็นที่พึ่งทางจิตใจ เพื่อทำให้จิตใจสงบมากขึ้น รวมทั้งการฝึกสติ ฝึกสมาธิ หาเพื่อนปรึกษา พูดคุยระบาย ช่วยกันคิดแก้ปัญหา ไม่เก็บปัญหาไว้คนเดียว ถ้ายังแก้หาทางออกไม่ได้ ก็สามารถขอรับคำปรึกษาและความช่วยเหลือจากบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ขณะที่ครอบครัว ชุมชน และสังคมต้องดูแลเอาใจใส่กันและกัน.


ที่มา : เดลินิวส์        
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต