Sub Navigation Links

webmaster's News

หนุนภาคเอกชน ร่วมสร้างพยาบาลรักบ้านเกิด



หนุนภาคเอกชน ร่วมสร้างพยาบาลรักบ้านเกิด



วิชาชีพ “พยาบาล” ถือเป็นกำลังคนในระบบสุขภาพที่มีบทบาทสำคัญต่อการให้บริการประชาชน ซึ่งปัจจุบันถือว่าอยู่ในภาวะ “ขาดแคลน”
    โดยมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพประมาณ ๑๘๐,๐๐๐  คน แต่ทำงานในระบบจริงๆ เพียง ๑๓๐,๐๐๐ คน ขณะที่ความต้องการพยาบาลมีถึง ๑๖๐,๐๐๐ คน
    นั่นหมายความว่า ตลาดแรงงานยังขาดแคลนอยู่อีก ๓๐,๐๐๐ คน
    สภาการพยาบาลไทย คาดว่า ถ้าไม่มีมาตรการรับมือ ในปี ๒๕๖๓ อัตราการขาดแคลนพยาบาลจะเพิ่มขึ้นเป็น ๕๐,๐๐๐ คน ... ท่ามกลางปัจจัยที่ถาโถม ทั้งความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สังคมผู้สูงวัย โรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ ฯลฯ
    ขณะที่สถานศึกษาที่ผลิตพยาบาลเข้าสู่ระบบ สามารถผลิตได้ปีละ ๑๐,๐๐๐ คนเท่านั้น และในจำนวนนี้ เข้าสู่ระบบเพียงร้อยละ ๘๐ และค่อยๆ ลาออกไปในช่วง ๕ ปีแรก เนื่องจากการทำงานหนัก เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ไม่สมดุลกัน
    จนสุดท้าย...เหลือพยาบาลอยู่ในระบบเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น!!
    ในการประชุมวิชาการ บทบาทของสถาบันการศึกษาภาคเอกชนในการผลิตพยาบาล (Role of private sector training institutions In Human Resources for Health: training and beyond) เมื่อวันที่ ๑๔- ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ภายใต้โครงการวิจัยด้านสุขภาพ Resilient and Responsive Health Systems: RESYST) ที่เกิดจากความร่วมมือของ ๗ ประเทศ ได้แก่ อัฟริกาใต้ แทนซาเนีย เคนยา ไนจีเรีย อินเดีย เวียดนาม และไทย มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดีๆ และช่วยให้คำแนะนำภาครัฐ เร่งวางแผนแก้ปัญหากำลังคนในวิชาชีพพยาบาล
   
โดยมุ่งให้ สถาบันการศึกษาภาคเอกชน ที่ขณะนี้มีมากกว่าหนึ่งในสี่ของสถาบันที่ผลิตพยาบาลทั้งหมด เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในการผลิตพยาบาล รวมถึงช่วยเป็นกลไกกระจายกำลังคนด้านพยาบาลในหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ห่างไกล สร้างความเท่าเทียมด้านสุขภาพระหว่างเขตเมืองและชนบทมากขึ้น
   
Dr. Nzomo Mwita ตัวแทนจาก องค์กรด้านสุขภาพ Amref แห่งอัฟริกา (Amref Health Africa) ประเทศเคนยา ถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟังว่า เคนย่าต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรเช่นเดียวกัน โดยมีอัตราส่วนพยาบาล ๑๐๓.๔ คนต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน ต่ำกว่าที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดอัตราส่วนขั้นต่ำที่ ๕๐๐ คนต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน
  
 การศึกษาวิจัยของ Dr.Nzomo Mwita พบว่า ปัจจุบันเคนย่ามีจำนวนของสถาบันการศึกษาพยาบาลเอกชนเปิดทำการเรียนการสอนเพิ่มขึ้น แต่ยังน้อยกว่าสถาบันของรัฐซึ่งมีจำนวนมากกว่าครึ่ง
 
  “แม้จำนวนสมัครเข้าเรียนพยาบาลจะเพิ่มขึ้นทั้งของสถาบันภาครัฐและเอกชน รวมปีละประมาณ ๕,๐๐๐ คน แต่มีจำนวนผู้สอบผ่านและสำเร็จการศึกษาเพียงแค่ปีละประมาณ ๑,๕๐๐ คนเท่านั้น”
 
   ดังนั้น ภาครัฐควรเร่งสนับสนุนให้อัตราการสำเร็จการศึกษาของพยาบาลเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มงบประมาณสนับสนุนแก่สถานศึกษา โดยสนับสนุนอุปกรณ์ สถานที่ฝึกอบรมพยาบาล ให้มีความเชี่ยวชาญ จัดหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการ ให้ทุนการศึกษา และออกระเบียบหรือกฎหมาย ส่งเสริมให้มีการสร้างสถาบันภาคเอกชนมากขึ้น
 
   Dr.VR Muraleedaharn แห่งสถาบันเทคโนโลยีอินเดียมาดราส (Indian Institute of Technology Madras:IITM) รัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย กล่าวว่า ตลอด ๑๐ ปีที่ผ่านมา จำนวนสถาบันการศึกษาพยาบาลในรัฐทมิฬนาฑู เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับปริญญาและอนุปริญญา รวม ๓๗๔ สถาบัน ผลิตพยาบาลได้ปีละประมาณ ๑๘,๐๐๐ คน โดยส่วนใหญ่เป็นภาคเอกชนถึง ๓๔๖ สถาบัน เป็นของรัฐบาลเพียง ๒๘ สถาบันเท่านั้น
    
การศึกษาวิจัยพบว่า แม้รัฐทมิฬนาฑูจะผลิตพยาบาลได้จำนวนมาก แต่เนื่องจาก ผลตอบแทนที่ต่ำ จึงทำให้ก็มีการเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ไปทำงานที่อื่นจำนวนมาก รวมทั้งปัญหาการกระจายกำลังคนด้านสุขภาพไม่เท่าเทียมกัน และขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพ โดยเฉพาะ การผดุงครรภ์
 
  “ผลจากการวิจัยได้จัดทำเป็นข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานภาครัฐ ที่ให้สถาบันภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับกำลังคนสุขภาพด้านพยาบาล โดยให้รัฐบาลออกกฎระเบียบ กฎหมาย การฝึกอบรมพยาบาลให้มีความเป็นอิสระมากขึ้น ผลิตพยาบาลผู้เชี่ยวชาญให้มีความหลากหลายมากขึ้น และการร่วมมือกันระหว่างสถาบันของรัฐและเอกชนในการสร้างโอกาสการจ้างงานที่ดีให้กับพยาบาล”
 
   Dr.Duane Blaauw ตัวแทนจาก RESYST เปิดเผยว่า โครงการ RESYST ได้รับการสนับสนุนจากวิทยาลัยสุขภาพและเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยลอนดอน (London School of Hygiene and Tropical Medicine) ตั้งแต่ปี ๒๕๕๔–๒๕๕๙ เพื่อเสริมสร้างระบบสุขภาพในประเทศที่มีรายได้ต่ำ ไปสู่การกำหนดนโยบาย และการวางแผนจัดการลดปัญหาความยากจนและสร้างความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงระบบสุขภาพ โดยมุ่งเน้นสนับสนุนการวิจัยสุขภาพใน ๓ ด้าน ได้แก่ การเงินการคลังด้านสุขภาพ การอภิบาลระบบสุขภาพ และกำลังคนด้านสุขภาพ
 
  “การประชุมในครั้งนี้ มีประเทศต่างๆ มาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ นำเสนอผลการวิจัยบทบาทของสถาบันการศึกษาเอกชนในการผลิตพยาบาล นำไปสู่ข้อสรุปของการวิจัย จัดทำข้อเสนอในเชิงนโยบายของแต่ละประเทศ เชื่อมโยงกับประเด็นต่างๆ อาทิ โครงสร้างของระบบสุขภาพ การผลิตกำลังคนด้านสุขภาพ การเรียนการสอนในสถาบันเอกชน การกำกับดูแล เป็นต้น”

    นพ.วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร ที่ปรึกษาสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) หนึ่งในนักวิจัยในโครงการ RESYST เปิดเผยว่า ในส่วนของประเทศไทย น่าจะนำประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ มาปรับปรุง ประยุกต์ ให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศ นำเสนอต่อ คณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ ที่มี นพ.มงคล ณ สงขลา เป็นประธาน เพื่อพิจารณาผลักดันเป็นนโยบายแก้ปัญหากำลังด้านสุขภาพในด้านพยาบาลต่อไป
  
 “สำหรับประเทศไทย พบว่าพยาบาล กระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองหลวงและหัวเมืองใหญ่ ไม่กระจายไปยังหน่วยงานของรัฐที่ในชนบทห่างไกล ทั้งที่ทัศนคติของนักศึกษาส่วนใหญ่ พอใจที่จะกลับไปทำงานในภูมิลำเนาเดิมในชนบท”
    ปัจจุบัน มีสถาบันการศึกษาด้านพยาบาลในประเทศไทย ทั้งสิ้น ๘๕ แห่ง แบ่งเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐ ๖๒ แห่ง และสถาบันศึกษาเอกชน  ๒๓ แห่ง ผลิตพยาบาลรวมได้ปีละประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน
    หากมีความร่วมมือกันระหว่างสถานบันของรัฐและเอกชนในการให้ทุนการศึกษา การกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกที่จูงใจให้มีการเรียนพยาบาล คาดว่าจะสามารถผลิตได้เพิ่มขึ้นเป็นปีละ ๑๒,๐๐๐  คน
 
   เมื่อพิจารณาจากผลการศึกษาของประเทศไทย นพ.วิโรจน์ ให้ข้อเสนอแนะสอดคล้องกับทีมนักวิจัยกำลังคนด้านสุขภาพไทยภายใต้ RESYST ซึ่งมี ดร.กฤษดา แสวงดี เป็นนักวิจัยหลัก โดยเสนอแนะว่า การแก้ปัญหาขาดแคลนวิชาชีพพยาบาล ควรครอบคลุม ๔ ประเด็นหลัก ได้แก่
๑.นโยบายด้านการคัดเลือกและการรับเข้าศึกษา ควรคัดเลือกนักเรียนจากพื้นที่ชนบทต่อไป และทำให้เกิดการจ้างงานเพื่อรักษาพยาบาลไว้ในพื้นที่
๒. การพัฒนาหลักสูตร เพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับระบบสุขภาพ เช่น ความเสมอภาคทางด้านสุขภาพ นโยบายสุขภาพ ความเข้าใจความหลากหลายด้านวัฒนธรรม  
    ๓. การพัฒนาอาจารย์ กำหนดให้มีประสบการณ์ทำงานในชนบทเป็นหนึ่งในเกณฑ์การคัดเลือกเข้าทำงาน และวางแผนกำลังคนเพื่อรับมือสังคมผู้สูงอายุและอัตราการลาออกที่สูงขึ้นในช่วง ๕-๑๐ ปีข้างหน้า
๔. กระทรวงสาธารณสุข ควรสนับสนุนให้ภาครัฐหรือโรงพยาบาลในชนบทให้ทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนในพื้นที่ เพื่อกลับมาทำงานในบ้านเกิดของตัวเอง
 
   นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ประธานคณะอนุกรรมการวางแผนกำลังคนด้านสุขภาพของประเทศในทศวรรษหน้า กล่าวว่า ข้อเสนอจากงานวิจัยและประสบการณ์ของประเทศต่างๆ ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะขณะนี้เรากำลังเร่งจัดทำการศึกษาเพื่อวางแผนกำลังคนด้านสุขภาพของประเทศในทศวรรษหน้า (พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๖๙) ที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพ ในการบริหารจัดการบุคลากรด้านสุขภาพในระดับพื้นที่ ครอบคลุมทุกสาขาอาชีพ อาทิ แพทย์, ทันตแพทย์, เภสัชกร, พยาบาล, เทคนิคการแพทย์, สาธารณสุข, แพทย์แผนไทย, สัตวแพทย์ รวมทั้งกลุ่มวิชาชีพเฉพาะที่ผู้ดูแลคนพิการ ผู้สูงอายุ นักกายภาพบำบัด นักจิตวิทยา นักฝึกการพูดและออกเสียง เป็นต้น
 
  “ผลการศึกษาของ RESYST ครั้งนี้ ถือว่ามีประโยชน์ต่อการวางแผนกำลังคนด้านสุขภาพในส่วนของวิชาชีพพยาบาลระยะ ๑๐ ปีข้างหน้า ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพในสร้างกำลังคนระดับพื้นที่ และรองรับการกระจายบุคลากรตามความต้องการของระบบสุขภาพอย่างทั่วถึง ทั้งในเมืองและชนบท”
   
.... ประเทศไทย นับเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการแก้ปัญหาการขาดแคลนวิชาชีพพยาบาลอย่างมีเป้าหมายและทิศทางสู่ความสำเร็จ ภายใต้แผนกำลังคนด้านสุขภาพฯ ที่จับมือทุกภาคส่วน มา บูรณาการร่วมกัน นำไปสู่คุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีขึ้นของคนไทยในอนาคต

Facebook

เข้าสู่ระบบ to rate

อันดับความนิยม:

อัพโหลดโดย:  webmaster

วันที่อัพโหลด:  4th Apr 16

จำนวนผู้ชม:  35265

ความคิดเห็น:  0

ข่าวที่ชื่นชอบ:  0

หมวด:   ข่าวสารน่ารู้

แจ้งข่าวไม่เหมาะสม

ชื่นชอบ

ส่งอีเมล์ถึ่งเพื่อน

๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝวท๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝวข๏ฟฝอง