มาบตาพุดยิ่งแก้ปัญหายิ่งเพิ่ม

เมื่อ เร็วๆ นี้ มีการเสวนา เรื่อง “การสื่อสารความเสี่ยงเพื่อสุขภาพคนมาบตาพุด” โดยมีชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การนิคมอุตสาหกรรม สาธารณสุขจังหวัด ผู้แทนจากโรงพยาบาลมาบตาพุด และเทศบาล ร่วมเวที โดย น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้งผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ องค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) กล่าวว่าเป็นที่น่าสังเกตว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ทุกหน่วยงานเข้ามาทำงานเพื่อแก้ปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แต่ปัญหากลับเพิ่มขึ้น และไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด ซึ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมคือ ชาวบ้านเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้น พืชผลทางการเกษตรลดลง ในขณะที่จำนวนโรงงาน โดยเฉพาะในส่วนต่อขยายกลับขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก

นายทาคาชิ มิยะคิตะ นักวิชาการที่ศึกษาและเคลื่อนไหวเรื่องโรคมินามาตะ จากศูนย์วิจัยเปิดเพื่อการศึกษาโรคมินามาตะ มหาวิทยาลัยคุมาโมโตกักกุเอ็ง ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า การแก้ปัญหาด้วยวิธีการ แบบการสื่อสารความเสี่ยงต้องใช้เวลา กรณีโรคมินามะตะ ในประเทศญี่ปุ่นนั้น ใช้เวลา 50 ปี ถึงจะมีการยอมรับว่าโรคที่เกิดขึ้นมาจากโรงงาน การสื่อสารความเสี่ยงมีหลักสำคัญอยู่ 3 ข้อ ที่ผู้เกี่ยวข้อง ควรจะคำนึงถึง คือการแชร์ข้อมูลให้กัน ใช้ข้อมูลที่ได้ให้เกิดประโยชน์ ในการสร้างความไว้วางใจกัน

และลดความเสี่ยงเท่าที่จะทำได้ พร้อมหาทางออกเพื่ออยู่ร่วมกันให้ได้

น.ส.สมพร เพ็งค่ำ ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) กล่าวว่า เวทีนี้เป็นครั้งแรกของการเปิดรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบของการสื่อสารความเสี่ยง เพื่อนำไปสู่การหาทางออกร่วมกันในการแก้ปัญหา ซึ่งครั้งนี้รูปธรรมอาจจะยัง ไม่ชัดเจนนัก แต่ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี และจะมีเวทีแบบนี้อีก โดยอาจจะมีการปรับรูปแบบให้เหมาะสมต่อไป โดยภาคีเครือข่ายจะได้หารือร่วมกับชุมชนต่อไป

ที่มา มติชน ฉบับวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555